เทศน์บนศาลา

ใจที่หมดภัย

๕ ต.ค. ๒๕๔๘

 

ใจที่หมดภัย
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์บนศาลา วันที่ ๕ ตุลาคม ๒๕๔๘
ณ วัดป่าสมสงัด ต.ทับใต้ อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์

 

ตั้งใจฟังธรรม ฟังธรรมนะ ธรรมนี้ได้มาแสนยาก เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าค้นคว้า เวลาค้นคว้าต้องปรารถนาก่อน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรารถนาเป็นพระโพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์จะต้องสร้างบุญกุศลมหาศาล สิ่งที่สร้างบุญกุศลมหาศาลเป็นคุณงามความดีนะ คุณงามความดีเป็นบุญกุศล

อกุศลคือการทำความบาป อกุศลคือทำความชั่ว ทำความผิดพลาดให้หัวใจ หัวใจนั้นก็จะตกนรกหมกไหม้ไป แต่ถ้าหัวใจสร้างคุณงามความดี โดยสัจจะความจริง สิ่งใดทำคุณงามความดี ความดีนี้ต้องส่งเสริมให้เป็นบุญกุศล สิ่งที่เป็นคุณงามความดี นี่เป็นคุณงามความดีของโลกไง

ดูพระโพธิสัตว์สิ สละชีวิต สละทุกๆ อย่างเพื่ออะไร? เพื่อสร้างบุญกุศลอันนี้ไง แล้วปรารถนาด้วยนะ ปรารถนาเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสรู้ด้วยตนเองเพื่อจะรื้อสัตว์ขนสัตว์ สิ่งที่จะรื้อสัตว์ขนสัตว์นี้จะต้องมีบุญญาธิการ ต้องมีบารมี ถ้าไม่มีบารมีจะเอาอะไรไปรื้อสัตว์ขนสัตว์ เพราะการรื้อสัตว์ขนสัตว์ทางโลกเห็นไหม โรงพยาบาลเขารักษาคนไข้ คนไข้เจ็บไข้ได้ป่วยไปโรงพยาบาลเขาไปรักษาให้หายไข้ นั้นเป็นเรื่องของโรคภัยไข้เจ็บที่เขาเห็นโทษไง

แต่กิเลสตัณหาความทะยานอยากในหัวใจนี่มันเป็นเรื่องนามธรรม ถ้าไม่มีความเชื่อความศรัทธา ใครจะยอมให้รื้อสัตว์ขนสัตว์ล่ะ จะมีแรงต่อต้าน จะไม่เชื่อธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาฟังธรรมฟังอย่างนี้ นี่ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กว่าที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะรื้อค้นขึ้นมามันแสนยาก เพราะการตรัสรู้ด้วยองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเอง ต้องสร้างบุญญาธิการมามหาศาลเลย

สิ่งที่สร้างบุญญาธิการมหาศาลเห็นไหม เวลาเกิดตาย เกิดตายในชาติของพระโพธิสัตว์ สิ่งนี้เป็นบุญกุศลไหม? เป็น เห็นไหม สิ่งที่เป็นบุญกุศลนี้มันต้องเป็นคุณงามความดีทั้งหมดสิ แต่มันก็ยังมีภัยไง ภัยอันละเอียด เห็นไหม ภัยอย่างหยาบๆ คือภัยอย่างเรื่องของโลกเขา เวลาเด็กๆ มันไม่เข้าใจทางการดำรงชีวิต มันจะทำความผิดพลาดไปถึงกับพลาดพลั้งถึงกับเสียชีวิต เพราะมันเป็นเด็ก มันไม่เข้าใจเรื่องของโลก เรื่องของความเป็นไป เรื่องอันตรายของโลก มันมีมหาศาลเลย แต่เด็กก็ไม่เข้าใจ ทำประสาไร้เดียงสาของเด็กๆ นั้นคือเรื่องภัยของโลกนะ

สิ่งที่เป็นภัยเห็นไหม แล้วเป็นภัยอย่างที่ว่าโลกเขาติดข้องกันล่ะ สิ่งนั้นเป็นภัย เป็นภัยเพราะอะไร เพราะสิ่งที่ว่าเป็นภัย สิ่งที่ย้อนกลับมาในหัวใจมันเป็นผลให้สะสมลงที่ใจ ถ้าสะสมลงที่ใจ สิ่งนี้ก็เป็นการเกิดและการตาย ภัยอันละเอียดคือการเกิดและการตาย

การสร้างคุณงามความดี การให้บุญกุศล สิ่งนี้เป็นคุณงามความดีทั้งหมด คุณงามความดีนี่ใครทำผู้นั้นก็เป็นคนได้คุณงามความดีอันนั้น คุณงามความดีที่เกิดขึ้นเพราะอะไรล่ะ เกิดขึ้นเพราะคนนั้นหัวใจนั้นเป็นหัวใจที่ดี หัวใจนั้นเขาสร้างสมคุณงามความดีมา หัวใจสิ่งนั้นมันถึงคิดได้ง่ายไง

“คนดีทำความดีได้ง่าย ทำความชั่วได้ยาก คนชั่วทำความชั่วได้ง่าย ทำความดีได้ยาก”

สิ่งนี้มันเกิดมาในหัวใจ ถ้าว่าทำความชั่วทำไมมาเกิดเป็นมนุษย์ล่ะ คนทำความชั่วแต่เขาก็มีสิ่งที่การกระทำของเขา มันถึงเกิดมาเป็นมนุษย์สมบัติไง จะต้องมีมนุษย์สมบัติมันถึงเกิดไปตามกระแสของกรรม กรรมสร้างให้ใจมาเกิดสภาวะแบบนี้ สิ่งที่เกิดสภาวะแบบนี้

เวลาเขาสร้างกรรมของเขา จิตใจเขาเป็นเรื่องของคนพาล เขาถึงได้ทำลายไง ทำลายความเป็นไปของโลก ทำลาย ความเห็นแก่ตัวนะ จะเอาตัวรอดให้ได้ สิ่งที่เอาตัวรอดให้ได้ คิดแต่เอาเปรียบเขานี่เป็นเรื่องของกรรม เป็นเรื่องของการกระทำอันนั้น สิ่งนี้ทำให้ต้องเกิดต้องตาย

ความเกิดตายอันนี้เขาไม่เห็นโทษหรอก เพราะอะไร เพราะเขาเห็นแต่เรื่องของสิ่งที่หยาบๆ เห็นแต่ผลประโยชน์ เห็นแต่สิ่งที่เป็นความดีงามของเขา ความดีงามของกิเลสนะ ความดีงามของกิเลสเห็นไหม มันเอาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาโปะไว้ข้างหน้า ว่าสิ่งนี้เป็นคุณงามความดี มันอ้างอิงคุณงามความดีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ก็เพื่อไง เพื่อให้หัวใจนี้มีอำนาจ มีความยอมรับของสังคมเพื่อจะเอาประโยชน์ของเขา นี่เวลาคนพาลคิดคิดอย่างนั้นนะ

แต่เวลาเป็นที่บุญกุศลล่ะ สิ่งที่กุศลก็ทำนะ ทำเพื่ออะไร ทำเพื่อสิ่งนี้ เป็นเพื่อดำรงชีวิตให้ชีวิตมีบุญญาธิการ เวลาบุญญาธิการนี้เพื่อบารมีธรรมอันนี้ไง ถ้าเพื่อบารมีธรรม เพื่อสร้างสมคุณงามความดีเข้ามาจับหัวใจให้เห็นภัยอันละเอียด

ภัยอันละเอียดขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่สร้างสมบุญญาธิการเป็นพระโพธิสัตว์ นี่สิ่งนี้เป็นคุณงามความดีทั้งหมดเลย นี่สร้างสม ในการสละชีวิต การสละต่างๆ แม้แต่เป็นพระเวสสันดรให้ทาน สละทานมาทั้งนั้นเลย เป็นเรื่องของคุณงามความดีนะ แต่ขณะที่สละทานขนาดไหน สิ่งที่เป็นคุณประโยชน์ที่จะมาตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ยังต้องเกิดต้องตายไง

ภัยอันละเอียดคือภัยการเกิดและการตาย การเกิดและการตายต้องทำให้จิตนี้เวียนไปในวัฏฏะ สิ่งที่เวียนในวัฏฏะ สิ่งนี้มันเป็นภัยอันละเอียดแต่คนมองไม่เห็น คนไปมองเห็นแต่ภัยจากภายนอก ภัยจากการดำรงชีวิต ภัยจากสิ่งต่างๆ นี้เป็นภัยอย่างหยาบ ภัยอย่างละเอียด ภัยโดยที่มีกิเลสตัณหาความทะยานอยากในหัวใจอีกมหาศาลเลย

สิ่งที่สร้างสมบุญญาธิการนี้ ขณะที่เป็นพระโพธิสัตว์นี้ยังมีกิเลสนะ จะว่าติดดีก็ได้ ติดดีเพราะทำคุณงามความดีเพื่อดี แต่ดีอย่างนี้ ดีเพื่อสะสมอินทรีย์ สะสมมาเป็นพละ เป็นกำลังของจิตดวงนั้น ถ้าจิตดวงนั้นสร้างสมมาอย่างนี้ถึงจะเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้าที่ตรัสรู้เอง เป็นสยัมภู ไม่มีธรรมไม่มีวินัยแต่ก็ยังรื้อค้นขึ้นมาได้นะ สิ่งที่รื้อค้นขึ้นมาเพราะการสะสมอันนั้นมานะ การสะสมที่ว่าเป็นบุญกุศลเป็นการสร้างสมบุญญาธิการมา

แต่การเกิดการตายนี้คือภัยอันละเอียดจากใจของพระโพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์ก็มีภัยอย่างละเอียดที่ลึกซึ้งอันนี้มา ทั้งๆ ที่ปรารถนารื้อสัตว์ขนสัตว์ สิ่งนี้เป็นการสะสมมา แล้วเพื่อจะปรารถนานะ ถ้าเราคิดเป็นวิทยาศาสตร์ สิ่งที่ปรารถนา สิ่งที่เรามันเป็นไป มันก็ต้องเป็นไปโดยธรรมชาติสิ แต่นี่ไม่เป็นอย่างนั้นเลย มันไม่เป็นอย่างนั้นเพราะการสร้างสมบุญญาธิการมานี่มันเรื่องของกรรม กรรม สภาวะของกรรม กรรมให้ผล ขณะที่กรรมให้ผล สิ่งนี้เกิดขึ้นตามสภาวะของกรรมแล้วสืบต่อไปๆ พระโพธิสัตว์ต้องสืบต่อเพื่อสร้างสมบุญญาธิการจนถึงที่สุด

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังไม่พยากรณ์ พระโพธิสัตว์สามารถกลับได้ สร้างคุณงามความดีมาขนาดไหนจะกลับ “กลับ” หมายถึงว่า ไม่ปรารถนาเป็นพระโพธิสัตว์ เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต่อไป จะเป็นสาวกะ-สาวก จะเป็นสาวกะ-สาวกก็ต่อเมื่อมีธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ เพราะสาวกะ-สาวกถึงเป็นผู้ที่เดินตาม รู้ตามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ขณะรู้ตามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ต้องมีกำลังของใจ ต้องมีบุญญาธิการ ต้องมีความเห็น เพราะมันเป็นภัยอันละเอียดจากภายใน มันมองไม่เห็นไง เห็นแต่ภัยภายนอกนะ

คือว่า ถ้ากลับได้ก็ต้องกลับต่อเมื่อมีธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่ไปกลับต่อเมื่อไม่มีธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะกลับไปหาอะไรล่ะ กลับไปมันก็เวียนตายเวียนเกิด ก็เหมือนเรากลับ สละอันนั้นออกไปก็หมุนไปในวัฏฏะ จะไม่ได้สมประโยชน์ ไม่ได้กลับขณะที่พบธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง

แต่ถ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพยากรณ์แล้วไม่มีโอกาส กลับไม่ได้ เพราะว่าเหมือนกับสิ่งนี้เป็นการดำรงชีวิต เป็นความจริงอันต้องมุ่งไปข้างหน้า สิ่งที่มุ่งไปข้างหน้ายังสร้างสมบุญญาธิการอย่างนี้มา นี่ถึงต้องสร้างสมบุญญาธิการไปเพื่อจะให้ถึงบั้นปลายในการสยัมภูไง ในการตรัสรู้โดยชอบ

ขณะที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเราปรารถนามาอย่างนี้ มาเกิดเป็นเจ้าชายสิทธัตถะยังต้องออกประพฤติปฏิบัติ ทำไมไม่เกิดมาจากครรภ์ของมารดา ไม่ตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลยล่ะ ถ้าตรัสรู้โดยองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเอง เหมือนกับเมล็ดพันธุ์พืชมันเจริญงอกงามขึ้นมาของมันเอง มันต้องดำรงชีวิตของมันเอง อันนั้นเป็นเรื่องของวัตถุ เรื่องของวัตถุเห็นไหม ต้นไม้มีชีวิตอยู่แต่ชีวิตอย่างนั้นมันเกิดขึ้นมา สิ่งนั้นมันเกิดขึ้นมาเพื่อเป็นธัญญาหาร เพื่อเป็นเรื่องประโยชน์ของโลกเขานะ

แต่ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะเกิดขึ้นมานี่ต้องใช้บารมีธรรม บารมีธรรมที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสร้างมารื้อค้นไง รื้อค้นอันนี้มันถึงเป็นอริยสัจขึ้นมา ถ้าเป็นอริยสัจขึ้นมาเห็นไหม เวลาเจ้าชายสิทธัตถะไปศึกษากับเจ้าลัทธิต่างๆ ก็ไปศึกษากับเขา ศึกษาสภาวะแบบใดมา มันก็เหมือนเมล็ดพันธุ์พืช เมล็ดพันธุ์พืชเวลาที่ตกลงไปในดิน มีน้ำดี มีอาหารดี เมล็ดพันธุ์ก็ต้องเกิดขึ้นมา

จิตนี้ก็เหมือนกัน เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรารถนาเป็นพระโพธิสัตว์ เกิดเป็นฤๅษี เกิดเป็นต่างๆ ก็บำเพ็ญอย่างนี้มาเหมือนกัน บำเพ็ญมาคือจิตมันสงบเข้ามา พอจิตมันสงบเข้ามามันก็เหมือนเราเอาความสงบซุกไว้ซ่อนไว้ ซุกไว้ซ่อนไว้ถ้ามันเป็นขยะที่เป็นเศษของที่มันเป็นชิ้นเป็นอัน ซุกไว้ขนาดไหนมันก็ยังมีให้เห็นรูปให้เห็นร่างได้นะ

แต่กิเลสเป็นนามธรรมขณะที่จิตสงบเข้ามา สิ่งนี้มันสงบเข้ามา สิ่งที่เป็นนามธรรมมันถึงว่าไม่เห็นรูปเห็นร่างไง พอไม่เห็นรูปเห็นร่าง เจ้าชายสิทธัตถะไปศึกษากับเขา สิ่งนี้ถ้าย้อนไปสมัยที่เป็นพระโพธิสัตว์องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ฝึกฝนมาแล้ว สร้างสมบุญญาธิการมามหาศาลเลย

ขณะที่ไปศึกษากับเจ้าลัทธิต่างๆ ขณะที่เป็นสมาบัติต่างๆ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่เชื่อ ไม่เชื่อเพราะอะไร เพราะสิ่งนี้สงบเข้ามาแต่ภัยยังมีอยู่ไง กิเลสตัณหาความทะยานอยากในหัวใจเต็มหัวใจเลย สิ่งที่เต็มหัวใจเพราะมันไม่มีสิ่งใดไปทำลาย ไม่มีสิ่งใดไปทำให้สิ่งนี้สละออกไป ทำให้สิ่งนี้ขาดออกไปจากใจ ถึงไม่เชื่อสิ่งนี้ไง

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงมารื้อค้นคว้าขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเอง ศึกษากับเขามาจนทั่ว ศึกษากับเขามาจนสิ่งนี้มันเป็นสิ่งที่สุดวิสัย สุดวิสัยคือทำแล้วมันก็ยังไม่ถึงที่สุดจนได้ ค้นคว้าขนาดไหนก็ไม่ถึงที่สุด ขนาดที่ว่าคิดถึงบุญญาธิการของตัว คิดถึงความเห็นของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่สร้างสมมา นี่กรรม

กรรมเพราะอะไร เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสร้างสมบุญญาธิการมา เป็นพระโพธิสัตว์สร้างสมบารมีมาเต็มสุดเต็มที่แล้ว คิดถึงตั้งแต่โคนต้นหว้านั้น อานาปานสติ สิ่งที่กำหนดลมหายใจเข้าและลมหายใจออก กำหนดลมอานาปานสติก่อน เพราะขณะนั้น พุทธวิสัย สิ่งที่สร้างสมขึ้นมาเห็นไหม พุทโธๆ ก็ยังไม่เกิด เพราะอะไร เพราะสิ่งที่สงบเข้าไปก็ไปสงบแบบหินทับหญ้าไม่ใช่พุทโธ

พุทโธ คือ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้ตื่นสิไม่ใช่รู้แบบหลับใหลอย่างนั้นไง เป็นสมาธิก็หลับใหลไปในกิเลสนะ ถ้าเป็นสมาบัติเป็นสมาธิอยู่ เป็นความสงบอยู่ แต่หลับใหลไปในกิเลส เพราะกิเลสซุกไว้ใต้พรม หินทับหญ้า หินทับหญ้า นี่กิเลสมันอยู่ในใจ

เวลาที่เข้าสมาบัติ ระลึกอดีตชาติ เหาะเหินเดินฟ้า สิ่งนี้ขับเคลื่อนไปด้วยอะไรล่ะ? ขับเคลื่อนไปด้วยความต้องการ ความต้องการละเอียดนั้นคือความอยาก ความอยากเหาะเหินเดินฟ้า ความอยากรู้นั้นคือกิเลสทั้งหมดล่ะ สิ่งนี้เป็นกิเลสขับเคลื่อนไปโดยสิ่งที่เป็นกิเลส สิ่งนี้มันฝังอยู่ในหัวใจ ที่ว่าเป็นหินทับหญ้า หินทับหญ้า สิ่งนี้กิเลสเต็มหัวใจแบบนี้ไง

ขณะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากำหนดพุทโธๆ สัมมาสมาธิเห็นไหม กำหนดอานาปานสติสัมมาสมาธิ อานาปานสติความสงบของใจ พอจิตสงบขึ้นมาย้อนกลับไป นี่มีพลังงานของจิต พอมีพลังงานของจิตย้อนออกไป สิ่งนี้รื้อค้นไปเพราะจิตออกรับรู้ เพราะโพธิญาณยังไม่เกิด ปัญญาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังไม่เกิด มันก็เป็นไปกำลังขับเคลื่อนของจิต พลังขับเคลื่อนของจิตที่สร้างสมบุญญาธิการ บารมีขับเคลื่อนไป

“บุพเพนิวาสานุสติญาณ” ระลึกอดีตชาติ มองเห็นค้นคว้าข้อมูลในหัวใจ สิ่งที่อยู่ในหัวใจที่เป็นพระโพธิสัตว์สร้างสมมา ขณะนั้นสิ่งที่สร้างสมมา เห็นมา รู้มา รู้ไปอย่างนั้นมันก็เราไปรู้สิ่งที่อดีต รู้สิ่งที่เราสร้างสมบุญญาธิการมา แล้วมันแก้กิเลสไหมล่ะ? การรู้เห็นมันไม่ใช่การแก้กิเลส

ถึงว่าย้อนกลับมาเป็น “จุตูปปาตญาณ” ถ้าจิตเกิดตายเกิดก็เป็นสภาวะแบบนั้น นี้ก็ไม่ใช่ สิ่งนี้มันเป็นอดีตอนาคตที่มันกั้นหัวใจไว้ ภัยอันละเอียด ที่ว่าละเอียด ละเอียดขนาดไหน ละเอียดในหัวใจขนาดว่าเป็นหินทับหญ้า เป็นสิ่งที่ว่าเป็นกิเลสในหัวใจ มันเป็นความละเอียดขนาดที่เป็นสมาบัติมันก็มีกิเลสอันนี้ขับเคลื่อนไปให้เหาะเหินเดินฟ้าได้

ขณะที่เป็นอานาปานสติ ทั้งๆ ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีบุญญาธิการมหาศาล แต่เพราะมีสิ่งนี้มันเป็นสิ่งที่มีอยู่ในหัวใจ สิ่งนี้เป็นสิ่งที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสะสมมาในใจ สิ่งนี้มีอยู่ ความเป็นข้อมูลในใจมันมีอยู่ แล้วพลังงานที่ขับเคลื่อนไป ไปเห็นอดีตเห็นอนาคตอย่างนี้ มันเป็นการขับเคลื่อนไปใช่ไหม เป็นการขับเคลื่อนไปเพราะมีข้อมูลอยู่ เราจะเข้าไปหาในข้อมูลนั้น จะเข้าไปทำลายกิเลสนั้น มันต้องผ่านความเห็นของใจ ผ่านข้อมูลของใจเข้าไป ความละเอียดของใจเป็นสภาวะแบบนี้ พอเข้าไปถึงผ่านข้อมูลอันนี้เข้าไป ถึงไปเห็นเป็นปัจจุบัน

อวิชชาปจฺจยา สงฺขารา สงฺขาราปจฺจยา วิญญาณํ อวิชชา เห็นไหม พลังงานตัวนี้เป็นตัวที่อวิชชาคือตัวไม่รู้ ตัวไม่รู้คือไม่รู้อริยสัจ ไม่เป็นวิชชา ไม่เป็นความจริงในมรรคญาณ ตัวอวิชชานี่สงบเข้ามา ขณะที่สงบเข้ามา พอสงบเข้ามา พลังงานอันนี้ถึงไปเห็นบุพเพนิวาสานุสติญาณ ถึงสงบมันละเอียดเข้าไปถึงไปเห็นจุตูปปาตญาณ เพราะไม่ใช่อริยสัจไง เพราะไม่ใช่ความเป็นจริงในการชำระกิเลส

เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสร้างสมบุญญาธิการมามหาศาล ถึงสงบละเอียดเข้ามาลึกเข้าไปอีก พอลึกเข้าไปอีกไปเห็นอวิชชา ตัวอวิชชาตัวที่ไม่รู้อะไรนี่มันออกไปรู้สิ่งสภาวะแบบนั้น สิ่งที่ว่าสงบย้อนกลับเข้าไปทวนกระแสเข้าไป เพราะอวิชชาแล้วออกไปรู้บุพเพนิวาสานุสติญาณ ออกไปรู้จุตูปปาตญาณ ถึงไม่ยอมรับความจริงอันนี้ ถึงย้อนกลับเข้ามาเป็นปัจจุบัน เป็นปัจจุบันของจิต เป็นปัจจุบันในอันละเอียดลึกซึ้งมาก

พอปัจจุบันนี่ค้นคว้าเข้าไปในอวิชชา ไม่รู้...ไม่รู้อะไร สิ่งที่ไม่รู้นี้มันไม่รู้ในอะไร? ไม่รู้ในตัวมันเอง อวิชชาปจฺจยา สงฺขารา สงฺขาราปจฺจยา วิญญาณํ ถ้าความไม่รู้นี้จะเอาสิ่งอะไรให้มันเป็นความรู้ขึ้นมาล่ะ? ก็ต้องใช้ปัญญาใช่ไหม นี่ปัญญาที่ละเอียดอ่อนลึกซึ้งนี้เกิดขึ้นกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

เกิดขึ้นจากการกระทำนะไม่ใช่เกิดขึ้นมาจากการนึกคิด เกิดขึ้นมาจากลอยๆ มีเหตุมีผลของบุญญาธิการของการสยัมภูขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ความเห็นอันนี้นี่เป็นวิชชา วิชชาอันนี้เป็นอาสวักขยญาณ อาสวักขยญาณไปตัดความเห็นอันไม่รู้นั้นให้รู้สัจจะความจริง ทำลายกิเลสตัวนี้ออกไป

ภัยอันละเอียด ภัยในการเกิด การแก่ การเจ็บ การตาย การเกิดและการตายในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ประหัตประหารกันลงเดี๋ยวนั้น เวลาอาสวักขยญาณ ทำลายจิตขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี้หมดภัยนะ ใจดวงนี้ไม่มีภัยอีกเลย พอใจดวงนี้ไม่มีภัย เห็นไหม นี่เสวยวิมุตติสุข

ขณะที่เสวยวิมุตติสุข พอความรู้สึกอันความสุขนี้ แล้วออกจะเผยแผ่ธรรม ทั้งๆ ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรารถนาจะรื้อสัตว์ขนสัตว์ จะรื้อสัตว์ขนสัตว์นะ สิ่งที่จะรื้อสัตว์ขนสัตว์ในเมื่อมีธรรมในหัวใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ต้องรื้อสัตว์ขนสัตว์ไปโดยความเห็นสิ เห็นไหม โลกคิดกันอย่างนี้ไง โลกคิดกันว่า ถ้าเป็นวิชาการ เป็นสิ่งต่างๆ ที่รู้ได้ก็ต้องศึกษาตามวิชาการ นี่สุตมยปัญญาความเห็นของโลกคิดกันอย่างนี้ไง

แต่ขณะที่ว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นพุทธวิสัยนะ ปัญญาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่กว้างขวางมาก เป็นอจินไตยจนไม่มีใครสามารถจะหยั่งรู้ได้ ยังทอดอาลัยเพราะอะไร เพราะภาวนามยปัญญา ปัญญาอันละเอียดอ่อนลึกซึ้งอันนี้มันใครจะเข้าไปรู้ มันจะรู้กันเห็นกันแต่เรื่องความเห็นของขันธ์เรื่องความคิดความนึก แต่ปัญญาอันละเอียดที่จะชำระกิเลสมันไม่มีใครจะเห็นได้ไง จนทอดอาลัยนะ สิ่งที่ทอดอาลัยเพราะใครจะรู้สภาวะแบบนี้ จนถึงที่สุดไง

นี่จะบอกว่าโลกียปัญญาเป็นความเห็นอันหนึ่ง โลกุตตรปัญญาเป็นความเห็นอันหนึ่ง มันจะมีกระแสของมัน มันมีกระแสระหว่างความคิดของโลกกับความคิดของธรรมนี่มันจะต่างกัน สิ่งที่ต่างกันแล้วจะสื่ออย่างไรให้เขาเข้าใจ จะสื่ออย่างไรให้เขาเข้าใจได้ สภาวะแบบนี้ให้เขาเข้าใจได้

แต่ถึงที่สุดเพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรารถนาเป็นพระโพธิสัตว์สร้างสมบุญญาธิการมาอย่างนี้ สาวก-สาวกะก็สร้างสมบุญญาธิการมา ผู้ที่มีความรู้อันละเอียด ความคิดอันละเอียดอ่อนในหัวใจอย่างนี้มีอยู่ ถ้ามีอยู่เห็นไหม ถึงจะคิดเทศนาว่าการ ถึงจะแสดงธัมมจักฯ ขณะที่แสดงธัมมจักฯ ออกไป ขณะที่ไปเทศน์สอนปัญจวัคคีย์ เทวดา อินทร์ พรหมส่งข่าวขึ้นต่อๆ ไป นี่จักรอันนี้เคลื่อนแล้ว ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ประกาศแล้ว ธรรมอันนี้ไง ธรรมและวินัยอันนี้จะเป็นการรื้อสัตว์ขนสัตว์นะ รื้อสัตว์ขนสัตว์ตั้งแต่พระปัญจวัคคีย์ลงมา พระยสะ ๖๐ จนขณะสงฆ์ ๖๑ องค์รวมทั้งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะเผยแผ่ธรรมนะ “พระสงฆ์ ๖๑ องค์นี้เป็นผู้ที่พ้นจากบ่วงของมาร บ่วงที่เป็นทิพย์และบ่วงที่เป็นโลก”

“บ่วงที่เป็นโลก” ความเป็นไปของโลก โลกธรรม ๘ สิ่งนี้ก็เป็นบ่วงของโลก

“บ่วงที่เป็นทิพย์” บ่วงที่เป็นทิพย์ คือกิเลสตัณหาความทะยานอยากในหัวใจ ถ้ากิเลสตัณหาความทะยานอยากในหัวใจ มันมีมายาของเขานะ พญามารมีมายาในหัวใจ การเผยแผ่ธรรมด้วยมายามันเป็นไปไม่ได้หรอก สิ่งที่เป็นมายา เราเองเราไม่รู้จริงตามความจริงของเรา แล้วเราจะไปสั่งสอนเขาได้อย่างไร ในเมื่อใจมันเป็นมายา การแสดงออกมันก็เป็นมายา นี่บ่วงที่เป็นทิพย์

“ขณะพ้นจากบ่วงที่เป็นโลกและบ่วงที่เป็นทิพย์ จงไปเผยแผ่ธรรม อย่าไปซ้ำทางกันเพราะมันจะเสียโอกาสของเขา”

ใจที่หมดภัยนี่จะเป็นประโยชน์มาก เป็นประโยชน์ตั้งแต่ใจดวงนั้น เพราะใจดวงนั้นมันมีภัยอย่างหยาบๆ เราก็ติดกันแต่ภัยอย่างหยาบๆ นะ ถ้าภัยอย่างละเอียดในหัวใจเราไม่เห็น

ภัยอันละเอียด คือการเกิดและการตาย

ภัยอย่างหยาบ คือความทุกข์ความโศก ตัณหาความทะยานอยากในหัวใจ ภัยอย่างหยาบๆ ในหัวใจมันก็มี

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าชำระล้างด้วยสยัมภูตรัสรู้เองโดยชอบ แล้วเทศนาว่าการพระปัญจวัคคีย์ พระยสะต่างๆ สิ่งต่างๆ นี้เป็นผู้ที่เผยแผ่ธรรมมา เผยแผ่ธรรมและวินัย เป็นธรรมและวินัยให้เราก้าวเดินนะ

แล้วในปัจจุบันนี้เราศึกษาเล่าเรียนกัน เราศึกษาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่มันเป็นโวหารนะ เพราะอะไร เพราะปริยัติ ธรรมและวินัยนี้ พระไตรปิฎก สิ่งที่ทำไว้ให้เราก้าวเดิน สิ่งที่เป็นปริยัติ เราศึกษากันโดยภาคปริยัติ ภาคปริยัติคือการศึกษาข้อมูลขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางธรรมและวินัยไว้ให้สำหรับชาวพุทธเรา เรานี่เป็นชาวพุทธเกิดมาพบพระพุทธศาสนา

ดูอย่างที่ว่าพระโพธิสัตว์ ขณะที่กลับเห็นไหม ขณะที่ลาพระโพธิสัตว์ ถ้าไม่เจอศาสนาล่ะ ไม่เจอธรรมและวินัยนี้จะปฏิบัติอย่างไร เพราะไม่ใช่สร้างสมบุญญาธิการมาเป็นสยัมภูตรัสรู้เองโดยชอบ ถ้าไม่สร้างสยัมภูตรัสรู้เองโดยชอบมันจะเอาวิธีการที่ไหนล่ะ ก็เป็นการคาดเอา เดาเอา หมายเอาเป็นสภาวะของใจนั้น มันก็เวียนไปในวัฏฏะ มันเป็นไปไม่ได้หรอกถ้าไม่ได้พบธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ

แล้วนี่เราเกิดมาพบธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วเราศึกษาเป็นภาคปริยัติ ภาคปริยัติคือโวหาร โวหารคือการกิริยาการแสดงธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วเราไปเอาโวหารขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าเป็นโวหารของเรา ว่าเป็นการประพฤติปฏิบัติธรรม เรียนปริยัติเป็นสุตมยปัญญาแล้วว่าเราเข้าใจธรรมๆ เป็นตรรกะ เป็นปรัชญา

แล้วบอกว่า นิพพานคือความเย็น นิพพานคือความสงบเย็นใจ นิพพานคือความสงบเย็นของใจ แล้วก็ว่านี่เป็นนิพพาน เป็นนิพพานเพราะอะไร เพราะศึกษาแล้ว เข้าใจแล้ว ว่างแล้ว ปล่อยวางแล้ว เห็นไหม

สิ่งที่เป็นวัตถุที่เขาเก็บซ่อนไว้มันยังแสดงตัวได้ สิ่งที่กิเลสเป็นนามธรรมนี่มันซ่อนไว้ในหัวใจ เราพยายามเก็บซ่อนเร้นไว้ เราปฏิเสธสิ่งที่ว่ามีอยู่ไง เวลาเราศึกษาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาเราแปลบาลี เราไม่กล้าแปลบาลีเข้ามาสับหัวกิเลสไง เราจะแปลบาลี โวหารนี้ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต้องแปลให้เข้ากับหลักพระไตรปิฎก

หลักพระไตรปิฎกนี่เป็นธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ธรรมและวินัยนี้ท่านวางไว้เป็นที่ก้าวเดินของจิต ที่จะค้นคว้าเข้าไปหาจิต ไม่ใช่สิ่งที่จะต้องแปลให้มันไปตรงกับธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมา ผลงานของพระโพธิญาณขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น เนื้องานอันนั้นคือทำลายกิเลสขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปแล้ว

สิ่งที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะปรินิพพาน บอกพระอานนท์ไว้นะ เวลาเราจะนิพพาน พระอานนท์เสียใจมาก อยากนิมนต์องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเอาไว้เพื่อจะสั่งสอนพระอานนท์ “อานนท์ เราบอกเธอแล้วไม่ใช่หรือ ธรรมและวินัยนี้เราแสดงไว้หมดแล้ว ธรรมและวินัยจะเป็นศาสดาของเธอ เราแม้ตถาคตก็จะต้องนิพพานไป เราเอาธรรมของเราไปองค์เดียว”

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าใจที่วิมุตติสุข ใจที่เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี้ สอุปาทิเสสนิพพาน คือยังมีเศษส่วน คือมีชีวิตอยู่นี้ กิเลสตายแล้วแต่จิตนี้ไม่เคยตาย องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพานไปกับธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรารถนามาจะรื้อสัตว์ขนสัตว์ ถึงวางธรรมและวินัยไว้รื้อสัตว์ขนสัตว์ไง

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกไว้ว่า “เราเป็นผู้ชี้ทาง” แล้วเราจะก้าวเดินถึงเป้าหมายนั้นหรือไม่ถึงเป้าหมายอยู่ที่การเดินของเรา ถ้าอยู่ที่การเดินของเรา เวลาเราแปลธรรมวินัย เราแปลบาลี แปลพระไตรปิฎกกัน เราจะแปลให้เข้ากับธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าคือแปลให้เข้ากับกิริยาอันนั้น แต่ไม่ยอมแปลเข้ามาในหัวใจไง ไม่ยอมแปลเข้ามาในหัวใจเห็นไหม นิพพานนี้สงบเย็นๆ เขาก็บอกเราสงบเย็น

มันสงบเย็นไปไหน ในเมื่อการแสดงออกของใจมันมีมายาทั้งหมด ถ้าใจยังมีมายาอยู่การแสดงออกมันไม่ตรงธรรมตรงวินัย ถ้าไม่ตรงธรรมตรงวินัย นี่อวิชชาปจฺจยา สงฺขารา สงฺขาราปจฺจยา วิญญาณํ ถ้าจิตยังมีอวิชชาอยู่ การกระทำของจิตเห็นไหม

ถ้าจิตสงบเย็นจริงแบบธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะไม่โต้แย้งกับธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า การแสดงออกมาของใจจะไม่โต้แย้งกับธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า การตีความธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็จะไม่โต้แย้งกับธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะขณะที่จิตเห็นไหม ขณะปฏิบัติเห็นความสงบเย็นมันจะต้องชำระกิเลส สิ่งที่เป็นกิเลสในหัวใจ

ดูสิ ดูอย่างในศาสนาเรา บริษัท ๔ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา อุบาสก อุบาสิกาเขาศรัทธา เขามีความเชื่อ เขาสละทานของเขา ผู้ที่สละทานทำคุณงามความดีเหมือนกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ปรารถนาเป็นพระโพธิสัตว์ ขณะที่เขาสละทานของเขา เขาสร้างสมบุญญาธิการของเขา เขาก็ต้องเกิดตายๆ ในอำนาจของบุญกุศลของเขาใช่ไหม ถ้าเขาเกิดตายๆ ในอำนาจบุญกุศลของเขา เพราะเขาสร้างสมบุญญาธิการ เพราะเขาสละทานของเขา สิ่งนี้มันมีอยู่ไง

ขณะที่เราแสดงธรรมโดยที่ว่านิพพานเป็นสงบเย็นนี้ ถ้าสงบเย็นทำไมบอกว่า สิ่งที่เป็นธรรมและวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหม สิ่งนี้เราปฏิเสธล่ะ การแสดงออกถ้ายังขัดแย้งกับธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มันจะเป็นธรรมในหัวใจของเราได้อย่างไร

ในเมื่อธรรมในหัวใจที่ว่าธรรมนี้ นิพพานเป็นความสงบเป็นความเย็น...ถ้านิพพานเป็นความสงบความเย็น ขณะที่เรายังเห็นนิพพานได้ เรายังรู้ใจเราเป็นนิพพานเพราะสงบเย็นในใจของเรา ขณะใจสงบเย็นของเรา แล้วการที่มันจะก้าวเดินเข้ามาสู่ความสงบเย็นอันนี้ มันต้องสละสิ่งที่เป็นกิเลสอย่างหยาบ กิเลสอย่างกลาง กิเลสอย่างละเอียด ละเอียดในละเอียดเข้ามาจนถึงนิพพานได้

ขณะที่สละกิเลสอย่างหยาบๆ เข้ามานี่เห็นไหม พระโสดาบัน ถ้ายังเป็นพระโสดาบันแบบนางวิสาขา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในธรรมวินัยบอกจะเกิดอีก ๗ ชาติ การเกิดและการตายของพระโสดาบัน ขณะที่เป็นพระโสดาบัน การเกิดอีก ๗ ชาติกับการเกิดตลอดวัฏฏะนี้มันต่างกัน

การเกิดตลอดวัฏฏะ ทำไมมันเกิดตลอดวัฏฏะล่ะ เกิดตลอดวัฏฏะเพราะอะไร เพราะมันไม่ได้ตัดสังโยชน์ไง จิตนี้เป็นจิตปุถุชน จิตนี้เป็นจิตธรรมชาติของจิตดวงนั้น ถ้าจิตดวงนั้น การสร้างสมทำดีก็คือได้ดี ทำชั่วก็คือได้ชั่ว การทำดีและทำชั่วนี้มันก็พาให้จิตดวงนี้เกิดตายๆ เป็นธรรมชาติของเขา นี่เราก็เห็นว่าการเกิด ๗ ชาติ กับการเกิดตลอดไปนี้มันต่างกันอย่างไร ถ้าเห็นการเกิดใน ๗ ชาติ กับการเกิดต่างกันอย่างไร แล้วทำไมเราปฏิเสธการเกิดและการตายล่ะ ถ้าเราปฏิเสธการเกิดและการตายมันจะสงบเย็นมาจากไหน

ในเมื่อมันสงบเย็น มันต้องเห็นการเกิดและการตายของกิเลสที่มันตายไป มันเป็นสมุจเฉทปหาน การเกิดอีก ๗ ชาติกับการเกิดตลอดไปต่างกันอย่างไร การเกิดของพระสกิทาคามีต่างกันอย่างไร การเกิดของพระอนาคามีต่างกันอย่างไร เพราะสิ่งที่ยังไม่ถึงสงบเย็นมันต้องเกิดตายโดยสัจจะความจริง คนเราเกิดต้องตายทั้งหมด ตายแล้วต้องเกิดทั้งหมด เว้นไว้แต่พระอรหันต์ นี่ถึงตายแล้วจะไม่เกิดอีกแต่ต้องตายเหมือนกัน

สิ่งที่เกิดตายเหมือนกันเห็นไหม นี่การแสดงออกของความสงบเย็นมันต้องไม่โต้แย้งกับธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าความสงบเย็นนี้โต้แย้งกับธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงว่าใจดวงนั้นมีมายา ใจดวงนั้นไม่ยอมรับสัจจะความจริงขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ยอมรับสัจจะความจริงแล้วอ้างได้อย่างไร อ้างว่านิพพานเป็นความสงบเย็นในใจดวงนั้น ถ้าอ้างว่านิพพานเป็นความสงบเย็นจากใจดวงนั้นทำไมมันขัดแย้งกัน

ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถ้าศึกษาไปแล้วจะไม่มีความขัดแย้งกัน จะต้องไปในทางเดียวกัน จากศีล สมาธิ ปัญญา จากทาน ศีล ภาวนา จะยกจิตให้สูงขึ้นโดยลำดับขึ้นไป สิ่งที่ยกจิตให้สูงขึ้นไปโดยลำดับๆ นี้เป็นสันทิฏฐิโก เป็นปัจจัตตังในหัวใจดวงนั้น สันทิฏฐิโกคือความรู้ของจิตดวงนั้น

ถ้าจิตดวงนั้นพัฒนาการขึ้นมาอย่างนี้ ความสงบเย็นของใจ สภาวะที่ว่ามันเป็นสมาธิอย่างใด เจ้าชายสิทธัตถะ ขนาดที่ว่าอาฬารดาบสรับประกันนะ สมาบัตินี่ว่าเป็นศาสดาเหมือนเรา เจ้าชายสิทธัตถะยังปฏิเสธเลย สิ่งต่างๆ ที่เราเป็นกันอยู่นี่ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทดสอบ แล้วปฏิเสธมาทั้งหมดอยู่แล้ว ขณะที่เราศึกษาตามภาคปริยัติแล้วเราก็เข้าใจว่าเรากำหนดจิตของเรา เราปฏิบัติของเรา ว่าสิ่งนี้เป็นสัจจะความจริงๆ มันขัดแย้งกับธรรมวินัยนะ

ถ้าผู้ที่มีธรรมในหัวใจจะไม่ขัดแย้งกับธรรมและวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะว่า “ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต” เห็นตถาคตคือตัวธรรมและตัววินัยจะเป็นศาสดาแทน ตัวแทนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง แล้วเราประพฤติปฏิบัติตามธรรมและวินัยเข้ามา แล้วจิตของเราสงบเย็นเข้ามาเป็นชั้นเป็นตอนเข้ามา เราจะกล้าทำลายสิ่งที่เป็นคุณประโยชน์เป็นสิ่งที่เรากราบอยู่ได้อย่างไร

ธรรมและวินัยนี้เรากราบโดยหัวใจนะ กราบด้วยความระลึกถึงบุญถึงคุณนะ คุณขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี้มหาศาล ถ้าไม่มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาสยัมภูตรัสรู้ขึ้นมาโดยชอบด้วยตนเอง แล้วเราจะเอาสิ่งใดเป็นที่ก้าวดำเนิน แล้วเราก้าวดำเนินมาจนจิตของเราเป็นมรรคเป็นผลขึ้นมาเป็นชั้นเป็นตอน เรากราบธรรมและวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโดยหัวใจ โดยความรู้สึก โดยบุญคุณที่ทำให้จิตนี้สงบเย็นขึ้นมาได้

แล้วทำไมเราไปโต้แย้ง เราไปขัดแย้ง เราไม่เห็นด้วยกับธรรมและวินัย ถ้าเราไม่เห็นด้วย สิ่งที่ธรรมวินัย...ไม่เห็นด้วยอะไร? ไม่เห็นด้วยกิเลสไง ถ้าไม่เห็นด้วยกิเลส จะไม่ทำสิ่งที่ผิดศีล สิ่งที่ทำแล้วเป็นโทษเป็นบาปอกุศลในหัวใจ เพราะสิ่งที่ทำให้เป็นบาปอกุศลในหัวใจเห็นไหม ศีล สมาธิ ปัญญา ถ้าเราผิดศีล เราทำลายศีลของเรา ศีลทะลุ ศีลด่าง ศีลพร้อย ศีลขาด มันก็เหมือนกับนุ่งผ้า ถ้าผ้าเป็นรู ผ้าทะลุ ผ้าขาด เราก็ยังพอนุ่งได้ แต่ถ้าผ้าขาดจนหมดผืนนี่เราจะเอาอะไรไปนุ่ง ถ้าเรานุ่งไม่ได้ ศีลเราไม่มีสมาธิมันเกิดได้อย่างไรล่ะ นี่ศีล สมาธิ ปัญญา

ถ้าศีลเรามันไม่ปกตินะ ถ้าเกิดเป็นสมาธิก็เป็นมิจฉา มิจฉาแบบพวกที่เขาเล่นทำคุณไสยกัน เขาทำลายครอบครัวนะ เขาทำคุณไสยเพื่ออะไร? เพื่อทำลายครอบครัวของคนอื่น เพื่อทำความทุกข์ให้กับสัตว์โลก เห็นไหม สมาธิที่เป็นมิจฉาเขาทำของเขาอย่างนั้น ถ้าศีลของเรามีนี่เราทำอย่างนั้นได้ไหม เพราะศีลมันไม่เบียดเบียน ไม่ทำลายคนอื่น ไม่ทำลายโอกาสของตัว ไม่ทำสิ่งต่างๆ ทั้งหมด แล้วถ้าผิดศีลล่ะ นี่ที่ไม่เชื่อธรรม โต้แย้งธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรงนี้ไง ตรงที่ศีลในหัวใจมันก็ไม่เป็นศีล

ถ้าเป็นศีลขึ้นมานี่สิ่งที่เกิดขึ้นมา การกระทำอย่างนั้นมันทำออกมาไม่ได้หรอก เพราะอะไร เพราะมโนกรรม ถ้าจิตของเราเป็นปกติ การกระทำเป็นความผิดเหมือนเรา เรายืนอยู่หรือเรานั่งอยู่เป็นปกติ ถ้าเราล้มไปนี่เราเหยียบหนามเหยียบต่างๆ เจ็บไหม? เจ็บ

จิตก็เหมือนกัน ถ้ามันทำผิดศีล มันทำเป็นบาปอกุศลมันเป็นความเจ็บปวดของใจไหม ใจนี้มันเจ็บปวดมากนะ เพราะอะไร เพราะมันไปทำบาดแผลให้กับใจไง ถ้าทำบาดแผลให้กับใจ มันก็เป็นความผิดศีล ถ้าเป็นธรรมมันจะทำสิ่งนั้นไม่ได้ สิ่งที่เป็นความผิดในหัวใจ

เพราะศีลเกิดจากหัวใจ ศีลเกิดจากภายใน ถ้าศีลเกิดจากภายใน สมาธิมันถึงจะเกิดขึ้นมาอย่างนี้ ถ้ามันเกิดขึ้นมา ศีลเป็นปกติ ขณะที่เป็นสมาธิก็เป็นสัมมาสมาธิ ถ้าสัมมาสมาธิเห็นไหม สิ่งที่ควรแก่การงาน ถ้าเกิดปัญญา ปัญญามันจะเข้าไปชำระกิเลส ทำลายกิเลส ขณะที่ยกขึ้นชำระกิเลส สิ่งนี้สำคัญมาก เพราะความสงบของใจมันเป็นวาระของโลก โลกคือความคิด ความคิดของโลก การสื่อสารของโลก สิ่งที่เป็นปัญญาของโลก โลกียปัญญานี้สามารถถ่ายทอด สิ่งที่เป็นเรื่องของโลกนี่สามารถถ่ายทอด

นักวิทยาศาสตร์เขาทดสอบสิ่งที่เป็นวิทยาศาสตร์ เป็นประโยชน์กับโลกไว้ สิ่งที่คิดค้นต่างๆ ขึ้นมาเป็นเครื่องยนต์กลไกให้เรามีความสะดวกสบายในชีวิตประจำวัน นี่มันเป็นเรื่องของโลก ทำไว้ให้เป็นเรื่องของโลกได้

แต่ขณะที่เป็นภาวนามยปัญญามันจะสืบต่อกันอย่างไรล่ะ สิ่งที่สืบต่อ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท้อพระทัย ท้อใจก็เพราะแบบนี้ไง เพราะเข้าใจก็โลก เห็นไหม เวลาศึกษากันแบบโลกๆ ศึกษากันแบบภาคปริยัติ ศึกษาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ว่า รู้ธรรมๆ ธรรมคือความสงบเย็น สิ่งที่สงบเย็น

สงบเย็นนี้เป็นโวหารขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่การแสดงออกของใจ การแสดงออกของการเทศนาว่าการ ธรรมนะ เวลาเราจะรู้ว่าผู้ใดมีธรรม การแสดงออกมาจากการเทศนาว่าการนี้จะบอกว่าหัวใจดวงนั้นมีภูมิ มีวุฒิภาวะขนาดไหน ถ้าวุฒิภาวะ การแสดงธรรมออกไปเห็นไหม นี่หัวใจเป็นธรรมนะ

เหมือนกับเราเป็นหมอ เราเป็นผู้ที่ชำนาญการในเรื่องของโรคภัยไข้เจ็บ เราจะเข้าใจ เป็นหมอด้วย แล้วยังเป็นผู้ที่ชำนาญการในเรื่องของโรคด้วย เราจะรู้ทันทีว่า โรคอาการแสดงออกอย่างนี้จะเป็นโรคอะไร แล้วขณะที่เราแสดงออกไป เราจะรู้ว่าสิ่ง...หมอเวลาเขารักษาคนไข้ คนไข้เจ็บรักษาผิดพลาดคนไข้คนนั้นตายคนเดียว แต่หมอนั้นก็ต้องรู้ว่าตัวเองทำผิดพลาดอย่างใด

แต่การแสดงธรรมเห็นไหม ถ้าธรรมที่แสดงออกไปเป็นความผิดพลาด แล้วถ้าพูดถึงสร้างสมบุญญาธิการ คนเคยสร้างบุญกุศลมามีคนนับหน้าถือตา การแสดงออกไปอย่างนั้นมันเป็นความผิดพลาด สิ่งที่ความผิดพลาดนี่เขาผิดของเขานะ เป็นสังคมทั้งสังคม ความผิดอันนั้น แล้วความผิดอันนั้นการประพฤติปฏิบัติมันจะเข้าไปถึงใจของเขาไหมล่ะ

เขาเสียโอกาสทั้งชีวิตนะ ชีวิตของเขาเกิดมาแล้วเขาก็เชื่อครูบาอาจารย์ที่ว่าสิ่งที่ว่าเป็นโวหาร ในการที่ว่าสิ่งที่ในการประพฤติปฏิบัตินี้ นิพพานเป็นความสงบเย็น...สงบเย็นเพราะหินทับหญ้า หินทับหญ้านี้เป็นความสงบเย็นแล้วถ้าเป็นมิจฉาด้วย เป็นสิ่งที่ทำลายโอกาสอีกต่างหาก

แต่ถ้าเป็นสัจจะความจริง สิ่งที่เป็นโลกียะสิ่งที่เป็นปัญญาของโลก สิ่งที่เป็นปัญญาของธรรม ภาวนามยปัญญาที่เป็นปัญญาของธรรมจะยกขึ้นได้อย่างไร สิ่งที่ยกขึ้น วิปัสสนาญาณเกิดอย่างนี้ ถ้าวิปัสสนาญาณทำความสงบของใจเข้ามา แล้วยกขึ้นวิปัสสนา

วิปัสสนาในกาย ในเวทนา ในจิต ในธรรม สติปัฏฐาน ๔ นี่พูดกันชินปากนะ กาย เวทนา จิต ธรรม สิ่งที่เป็นกาย สิ่งที่ว่าเป็นธรรม นี่เป็นโวหารทั้งหมดเลย เป็นเรื่องโลกียะ เป็นเรื่องทางโลก เป็นเรื่องความเห็นของสัญญาอารมณ์ สัญญาอารมณ์ความรู้สึกอันนี้มันเป็นโลกๆ ขันธ์นี้โลก ธาตุขันธ์นี้เป็นเรื่องของโลก เพราะโลกเกิดขึ้นมา...

เรามีชีวิตขึ้นมา สื่อความหมายในภาษาต่างๆ นี่ภาษาสื่อความหมาย สังขารความคิดความปรุงความแต่งนี่เป็นขันธ์ ๕ สิ่งที่ขันธ์ ๕ นี้เป็นเรื่องของโลก แล้วสัญญาอารมณ์สงบ เวลาเห็นตามสัญญาอารมณ์มันก็เห็นเรื่องของโลกๆ เห็นไหม ถ้าเห็นของโลกๆ ปัญญาโลกๆ อย่างนี้มันก็เห็นสภาวะเป็นปัญญาโลก นี่สงบเย็นๆ สร้างภาพแล้วก็ทำลายภาพให้เป็นสัญญาขึ้นมาแล้วก็ทำลายสัญญาว่าสิ่งนี้เป็นธรรมๆ...ไม่เป็นธรรม

สิ่งนี้เป็นการปฏิบัติ ถ้าปฏิบัติขึ้นมาสภาวะแบบนี้ เราสร้างสมบุญญาธิการอย่างนี้ ถ้าไม่เป็นสัจจะตามความเป็นจริง อย่างนี้เป็นมายา กิเลสมันมีมายานะ ภัยอันละเอียดในหัวใจมันมีมายาอย่างนี้ ภัยของโลกต่างๆ ที่เราเห็นเป็นภัยเป็นโทษของเรานี่ เราอุตส่าห์สละมันมา สละออกมาเป็นนักรบ เป็นผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ แล้วเราหาครูหาอาจารย์ไง ครูบาอาจารย์เห็นไหม

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่ใจนั้นหมดภัย พอใจนั้นหมดภัยไม่มีสิ่งใดๆ เป็นมายา

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศนาว่าการกับพระอานนท์ “อานนท์ ไม่มีกำมือในเรา ไม่มีสิ่งใดซ่อนเร้นในกำมือเราเลย เราแบออกทั้งหมด”

นี่สัจจะความจริงในธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี้เปิดเผยตลอด เพียงแต่พวกเราบุญญาธิการไม่ถึง พวกเราเข้าไม่ถึงธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี้หมดภัย สิ่งที่หมดภัยแล้วจะไม่มีมายาเลย การแสดงธรรมออกมานี้ด้วยความบริสุทธิ์ ด้วยความเมตตาสงสารสัตว์โลก จะรื้อสัตว์ขนสัตว์ไง แต่ขณะที่เราเห็นภัยของโลก เราเห็นภัยเราออกมาเป็นนักรบ เราออกมาประพฤติปฏิบัติ เราเป็นพระธุดงคกรรมฐาน เพื่อจะชำระภัยอันเกิดและตายในหัวใจนี้ สิ่งที่ชำระภัยที่เกิดในหัวใจ นี่ภัยอันละเอียดเวลาจิตสงบเข้ามานี้เราจะทำอย่างไรให้เกิดปัญญา

ถ้าเกิดปัญญาขึ้นมานะ นี่ศีล สมาธิ ปัญญา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเห็นปัญญาอันนี้ต่างหาก ถึงว่าเป็นสิ่งที่ประเสริฐนะ สิ่งที่ประเสริฐยกขึ้นวิปัสสนาให้ได้สิ ถ้าวิปัสสนาได้ เห็นไหม นี่กาย เวทนา จิต ธรรม ผู้ที่มีอำนาจวาสนา แล้วแต่ว่าสร้างสมบุญญาธิการมาขนาดไหน จะเห็นกาย เห็นความเป็นไปของกายก็วิปัสสนากาย ถ้าเห็นความเป็นไปของจิตก็พิจารณาจิต ความวิปัสสนาอันนี้ นี่คือการกระทำของใจ ถ้าการกระทำของใจสิ่งนี้เป็นกิจญาณ กตญาณ นี่เกิดอย่างนี้ไง

สิ่งที่ว่าสงบเย็นๆ มันต้องมีการชำระ มีการสำรอกออก คายออก คายกิเลสออกไป ถ้าเห็นการคายกิเลสออกไป สิ่งที่เห็นอันนั้นถึงบอก นี่การแสดงธรรมออกมามันถึงจะไม่ไปโต้แย้ง ไม่ไปขัดแย้งกับธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้ายังโต้แย้งขัดแย้งนะ “นรกสวรรค์ไม่มี มรรคผลนิพพานไม่มี สิ่งใดนี่หมดกาลหมดเวลา” นี่มันเป็นการโต้แย้งทั้งหมด

สิ่งที่โต้แย้งเพราะอะไร เพราะจิตมันไม่เห็นตามสัจจะความจริง การแสดงธรรมออกมาถึงฟ้องกับใจดวงนี้ว่าใจดวงนี้ยังมีภัยอยู่ ถ้าใจดวงนี้ยังมีภัยอยู่ จะไปรื้อสัตว์ขนสัตว์ที่ไหน ในเมื่อจิตของตัวก็ขนจิตของตัวเองไม่ได้ จะรักษาชำระให้สิ่งที่เป็นภัยออกจากใจไม่ได้ ถ้าชำระสิ่งที่เป็นภัยออกจากใจไม่ได้มันถึงเป็นการด้นเดา เป็นการคาดหมาย เป็นความเห็นของใจนั้น

แล้วในปัจจุบันนี้เราเกิดมาพบครูพบอาจารย์นะ ครูบาอาจารย์ของเรานี่พ้นภัย จิตของหลวงปู่มั่น ใจของหลวงปู่มั่นพ้นจากภัยทั้งหมด สิ่งที่หลวงปู่มั่น หลวงปู่เสาร์นี้พ้นจากภัยแล้วเทศนาว่าการไว้ให้เป็นภาคปฏิบัติไง

ในปัจจุบันนี้ในภาคปฏิบัติก็เหมือนกัน สิ่งที่ซ้อนไง ในเมื่อธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นอริยสัจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ธรรมและวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางไว้เพื่อจะให้เราก้าวเดินเข้าไปทำลายชำระล้างภัย ทำลายเรื่องกิเลสมารในหัวใจออกให้หมด องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางไว้เป็นอริยสัจ เป็นธรรมและวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

แล้วครูบาอาจารย์ของเรา ในการประพฤติปฏิบัติมันต้องมีผู้ชี้นำไง ครูบาอาจารย์ของเราศึกษาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วค้นคว้าด้วยความมุมานะ สิ่งที่มุมานะ ถึงมุมานะแล้วทำลายกิเลสออกเป็นชั้นเป็นตอนเข้าไป เพราะด้วยบุญญาธิการของครูบาอาจารย์ของเรา และวิปัสสนามาจนถึงที่สุด แล้วเทศนาว่าการเพื่อจะอะไร? เพื่อจะชี้ช่องทางให้เราวิปัสสนา ชี้ช่องทางให้เราประพฤติปฏิบัติ

ถ้าชี้ช่องทางให้เราประพฤติปฏิบัติ เราทำด้วยสัจจะความจริง สิ่งนี้เป็นการบอกกล่าว เป็นวิธีการจะให้เป็นตัวจุดประเด็นให้เราใช้วิชาการของเรา วิชาการทางจิตนะ วิชาการจากปัญญาจากภายใน ค้นคว้าของเรา

ถ้าวิชาการอย่างนี้เกิดขึ้นมาจากเรา เราประพฤติปฏิบัติออกไป จากการชี้นำของครูบาอาจารย์ แต่ไม่เป็นอย่างนั้นสิ เราไปฟังธรรมของครูบาอาจารย์แล้วเราก็ไปยึดอย่างนั้น สิ่งที่ไปยึดอย่างนั้น เห็นไหม นี่ซ้อนไง เวลาภาคปริยัติเขากล่าวตู่ เขาใช้โวหารขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า บอก “นิพพานสงบเย็น นิพพานสงบเย็น” เขากล่าวตู่ แต่เป็นความมายาในหัวใจของเขา การเทศนาว่าการของเขาขัดแย้งกับธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มันขาวกับดำ มันเป็นไปไม่ได้

ในภาคปฏิบัติก็เหมือนกัน ในเมื่อครูบาอาจารย์ของเราขณะที่สิ้นชีวิตไป พอเผาศพแล้วกระดูกเป็นพระธาตุทั้งหมด สิ่งที่เป็นพระธาตุองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกพระอรหันต์เท่านั้น สิ่งที่เป็นพระอรหันต์กระดูกนี้ถึงเป็นพระธาตุ ครูบาอาจารย์เราเป็นอย่างนี้มา แล้วเราก็เชื่อมั่นกันจนสังคมเขายอมรับในการประพฤติปฏิบัติของเรา เราก็ไปเอาสิ่งนี้ซ้อนไง คือเอาธรรมของครูบาอาจารย์มาแล้วเราก็สร้างภาพ เราก็สร้างจินตนาการของเราขึ้นมา เห็นไหม สิ่งที่จินตนาการขึ้นมามันซ้อนเข้าไปนะ

แม้แต่ปริยัติก็อ้างอิงโวหารขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในการประพฤติปฏิบัติภัยอันละเอียดนี้มันก็ไปสร้างภาพ มันก็ไปสร้างความเห็นของใจขึ้นมา จนมันเป็นภัยขึ้นมานะ เป็นภัยคือเป็นการกั้น เป็นกำแพงกางกั้นให้เราเข้าไม่ถึงธรรม ในเมื่อเราเข้าไม่ถึงธรรมมันมีภัยอยู่ในหัวใจใช่ไหม ภัยนี้ก็เสริมกำลังขึ้นมา จนเราโต้แย้ง จนเราไม่เห็นด้วยกับครูบาอาจารย์ในการปฏิบัติ ในภาคปฏิบัติ ในการกระทำต่างๆ

ถ้ามีการโต้แย้งอย่างนี้ มีการสวนกระแสออกไปอย่างนี้ มันก็แสดงออกว่า ใจนี้ไม่ได้มีธรรมในหัวใจเลย ถ้ามีธรรมในหัวใจสิ่งนี้เกิดขึ้นไม่ได้ สิ่งนี้เกิดขึ้นไม่ได้เพราะอะไร เพราะมันซึ้งในบุญในคุณไง

ขณะที่เราชาวพุทธทั้งหมดเราจะซึ้งบุญคุณขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ปัญญาคุณ เมตตาคุณขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สร้างสมบุญญาธิการมาเป็นพระโพธิสัตว์ เกิดตายๆ มาด้วยบุญกุศล สิ่งที่เป็นภัยหยาบๆ ก็ยังมีอยู่ แต่ขณะที่ตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่ชำระภัยออกทั้งหมด แล้ววางสิ่งนี้ไว้เป็นธรรมและวินัยให้เราก้าวเดิน

เราชาวพุทธเอาสิ่งนี้เป็นประเพณีวัฒนธรรม สิ่งที่เป็นประเพณีวัฒนธรรมเห็นไหม สังคมของชาวพุทธเป็นสังคมของสิ่งที่ว่ามีความสุขความทุกข์ แล้วแต่อำนาจวาสนาของแต่ละบุคคล ใครมีความสุขขนาดไหน เราสละทาน เรารักษาจิตของเราได้ขนาดไหน สิ่งนี้จะเป็นบุญ เป็นสิ่งที่อำนาจวาสนาของจิตดวงนั้น แต่เราผู้ที่ออกประพฤติปฏิบัติจะเอาสิ่งที่มากกว่านั้นเห็นไหม

เราเกิดมา ขนาดในสังคมนี้ยังเห็นบุญเห็นคุณขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วเราเกิดในภาคปัจจุบันนี้มีครูบาอาจารย์ของเรามารื้อค้นสิ่งนี้ขึ้นมา เราจะเห็นบุญเห็นคุณขนาดไหน ถ้าเห็นบุญเห็นคุณการกระทำองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสิ่งนั้นมันกระทำออกไปได้อย่างไร ถ้ากระทำสิ่งนั้นออกไปได้ มันแสดงออกว่าภัยพญามารในหัวใจมันเป็นตั้งแต่เป็นเสือตัวน้อยๆ จนเป็นเสือตัวใหญ่ เป็นเสือโคร่ง เป็นสิ่งที่สัตว์มีพิษในหัวใจทำลายดวงใจดวงนั้นนะ นี่มายาเกิดอย่างนี้ไง นี่มายาในหัวใจนะ

สิ่งที่เกิดมายาในหัวใจ แล้วธรรมของครูบาอาจารย์นั้นเป็นเรื่องของครูบาอาจารย์ สิ่งที่ครูบาอาจารย์นะ เป็นประสบการณ์ตรงของแต่ละบุคคล ประสบการณ์ตรงของครูบาอาจารย์เรารื้อค้นมาขนาดไหน ขนาดเทศนาว่าการก็เอาสิ่งนี้มาเพื่อเป็นประโยชน์ ให้เป็นกำลังใจ ให้พวกเรามีความมุมานะ สิ่งที่มุมานะเห็นไหมให้บอกว่าธรรมและวินัยนี้มีผล

แม้แต่ครูบาอาจารย์ที่ประพฤติปฏิบัติมา สิ่งที่ชำระกิเลสออกเป็นชั้นเป็นตอน ขณะที่ชำระชำระอย่างไร ขณะที่การกระทำนี่เกิดขึ้นมาด้วยกำลังอย่างไร สิ่งนี้บอกไว้เพื่อจะให้เรามีกำลังใจ ผู้ที่เดินไปข้างหน้าเราเห็นไหม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางธรรมไว้บอกว่า “ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติตามธรรมที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางไว้ ผู้ที่จะก้าวเดินถึงก็มี ผู้ที่ไปถึงกึ่งกลางจุดแค่นั้นก็มี ผู้ที่ก้าวเดินออกไปแล้วก้าวไม่ได้เลยก็มี” อันนี้มันเป็นอำนาจวาสนาเพราะเราไม่มีกำลังของเราเอง แล้วครูบาอาจารย์ของเราก้าวเดินออกไป นำหน้าเราไปอย่างนี้แล้วชี้แนวทางไว้ ทำไมไม่เป็นบุญคุณล่ะ

ถ้าเป็นบุญคุณ เราจะเอาสิ่งนี้มาประพฤติปฏิบัติให้มันเกิดขึ้นมาเป็นสันทิฏฐิโก ให้มันเป็นสัจจะความจริงของเรา ถ้าเป็นสัจจะความจริงของเรา ถ้าจะเหมือนก็เหมือนจากสัจจะความจริงของเรา ถ้าสิ่งที่เราเอาสิ่งนั้นมาเป็นเป้าหมายไว้ก่อน สิ่งนี้มันหลอกตัวเองไง หลอกตัวเองว่า สิ่งนี้เป็นธรรม แล้วเราก็สร้างภาพสภาวะแบบนั้น สิ่งที่สร้างภาพสภาวะแบบนั้นแล้วมันไม่ทำลายกิเลส แล้วกิเลสมันก็จะพองขึ้นมา เพราะอะไร เพราะเราทำแล้วเหมือนของครูบาอาจารย์ ทำไมครูบาอาจารย์ไม่เห็นด้วยว่าเราทำแล้วเป็นอย่างนั้นล่ะ

มันเป็นไปไม่ได้เลย เพราะอะไร เพราะสิ่งที่...เห็นไหม เวลาคนที่ขับรถเขาขับรถของเขาได้ เขาจะเข้าเกียร์อย่างไร ถนนนี้เป็นถนนทางราบ ถนนนี้เป็นถนนทางเข้าป่า ถนนนี้เป็นทางเข้าป่าแล้วถนนนี้ยังเต็มไปด้วยเลนด้วยโคลนด้วยตม สิ่งนี้มันเป็นประสบการณ์ ถ้าผู้ที่ประพฤติปฏิบัติจะเข้าใจอย่างนี้ทั้งหมด ครูบาอาจารย์ที่ท่านประพฤติปฏิบัติมาท่านจะเห็นเรื่องถนนหนทาง เห็นเรื่องรถที่จะก้าวเดินไป

รถคือหัวใจไง ถนนหนทางคือธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

นี่ก็เหมือนกันจริตนิสัยของเรา เราขับรถไปเข้าไปถนนที่เป็นถนนลาดยาง เราจะขับรถไปด้วยวิธีการใด เราขับไปในทางเป็นเลนเป็นโคลนเป็นตมเราจะใช้วิธีการใด เราขึ้นทางเรียบ เราขึ้นบนภูเขาทางลาดทางชันเราจะใส่เกียร์อย่างไร นี่เป็นวิธีการนะ ขณะที่เป็นวิธีการอย่างนั้น นี่เป็นวิธีการของครูบาอาจารย์ที่รู้จริง

แต่ถ้าเราภาคปฏิบัติ เราไปซ้อน คือเราเอาธรรมของครูบาอาจารย์เราเป็นธรรมของเรา เราจะแสดงธรรมไปแบบนั้น แต่ขณะที่เราลงไปในพื้นที่จริงเราจะทำอย่างนั้นไม่ได้เลย ขณะที่ลงไปพื้นที่จริงคนที่ไม่รู้จริงฟังธรรมของเราที่เราซ้อนของครูบาอาจารย์มาเขาก็จะเชื่อถือ เพราะอะไร เพราะเคยอยู่กับครูบาอาจารย์มา ครูบาอาจารย์สอนมาอย่างนี้ แล้วผู้นี้แสดงธรรมได้อย่างนี้ สิ่งที่เป็นน่าเชื่อถือนะ

แต่สิ่งที่อยู่ภายในหัวใจ สิ่งที่แสดงออก การแสดงออกคือมายา ถ้ามายานั้นแสดงออกมาเหมือนกับเราขับรถไปในถนนหนทางที่มันเป็นเลนเป็นโคลนเป็นตมแล้วเราขับไปไม่ได้ ถ้าเราขับไปไม่ได้เพราะอะไร เพราะเราขับไม่เป็น เราไม่รู้ แม้แต่ทางเรียบเราก็ยังขับไม่ได้เลย แล้วทางลาดทางชันเราก็ขับไม่ได้ แล้วขณะที่เราขับไปในทางที่เป็นโคลนเป็นตม ขณะที่เป็นหล่มเป็นหลุม นี่เราจะขับผ่านนั้นไปได้อย่างไร

เหมือนกับหมอ หมอที่เขารักษาคนไข้ เขาจะรู้ว่าคนไข้อย่างนี้ควรรักษาอย่างใด โรคภัยไข้เจ็บมันมีตั้งหลายระดับชั้นใช่ไหม ตั้งแต่เจ็บไข้ได้ป่วยธรรมดา จนเป็นโรคร้ายโรครุนแรงเขาต้องรักษาเป็นขั้นเป็นตอนขึ้นไป นี่ก็เหมือนกัน ในการประพฤติปฏิบัติในหัวใจของเรามันมีกิเลสนั้นหยาบๆ นะ

ดูสิ ดูอย่างการทำความสงบของใจ กำหนดพุทโธขนาดไหน มันสงบให้เราง่ายๆ ไหม ถ้าสงบแล้วขณะที่เราไม่มีสติแล้วมันก็เสื่อมของมันนะ ถ้าจิตเสื่อมเราจะแก้อย่างไร จิตเสื่อม ขณะที่เสื่อมออกมาเราต้องอดนอน ต้องผ่อนอาหาร เพราะผ่อนอาหารนี้ทำให้กิเลสมันยุบยอบ คือว่ามันไม่มีกำลัง นี่สิ่งนี้มันเป็นอาวุธ มันเป็นสิ่งที่ครูบาอาจารย์ของเรายื่นกับมือเราเลย ยัดใส่มือเราด้วย แต่เราปฏิเสธ เราอยากสุขอยากสบาย อยากจะกินอิ่มนอนอุ่น แล้วก็ปฏิบัติโดยสำเร็จมาโดยการกินและนอนนั้นไง สิ่งที่การกินและนอนเป็นการดำรงชีวิตนะ

ดูสิ ทางโลกเขากินขนาดไหน เขามีความสุขขนาดไหน มันกิเลสท่วมหัวนะ แล้วเราเป็นนักรบ เราจะเอาความเป็นอยู่อย่างนั้นหรือ ถ้าเราอยากจะมีความสงบของจิตของเราขึ้นมา เราจะมีความร่มเย็นของใจขึ้นมา เราต้องสละเห็นไหม สละความสุขความสบายทางโลกเพื่อให้กิเลสมันโดนชำระล้างบ้าง ถ้ากิเลสมันชำระล้างบ้าง มันจะมีความสงบร่มเย็นเข้ามา ถ้ามีความสงบร่มเย็นเข้ามา เราเริ่มทำความสงบของเราเข้ามา แล้วเราจะต้องชำนาญในวสีคือชำนาญในการควบคุม ถ้าเราชำนาญในการควบคุม สมาธิมันก็จะไม่เสื่อมไปจากเรา

สมาธิจะเสื่อม เสื่อมเพราะอะไร เสื่อมเพราะขาดสติ เสื่อมเพราะขาดคำบริกรรม เสื่อมเพราะขาดการบำรุงรักษา ถ้าเราชำนาญในวสีคือเราบำรุงรักษาได้ เราบำรุงรักษาเป็น สิ่งนั้นมันจะเสื่อมไปไหน ในเมื่อเรามีเหตุ สิ่งที่ทำให้สมาธิเกิดอยู่ตลอดเวลา ถ้าเรามีเหตุที่ทำให้สมาธิเกิดอยู่ตลอดเวลา สมาธิมันก็คงที่ของมันสิ ถ้าสมาธิมันก็คงที่ของมัน เหตุขนาดนี้ถ้ายังไม่รู้เลยแล้วจะไปเทศนาว่าการเอาอะไรกับใคร แล้วขณะที่ยกขึ้นวิปัสสนา วิปัสสนาได้อย่างไร ถ้าจิตไม่สงบ สัญญาอารมณ์สร้างภาพ สร้างภาพอย่างไร

ขณะที่ถ้าเป็นความจริงขึ้นมา ความจริงเห็นกาย เห็นกายมันสะเทือนกิเลสขนาดไหน ถ้าเห็นกายแล้วสะเทือนกิเลส สิ่งนั้นคือเห็นกายโดยสัจจะความจริง ถ้าเห็นกายโดยการสร้างภาพ “เห็นกายแล้วก็ชำระกาย แล้วก็ปล่อยวางกาย” อย่างนี้หรือการวิปัสสนา การเห็นกายมันเห็นด้วยสภาวะแบบใด

การเห็นกายการเห็นตาของใจ การเห็นกายมันจะสะเทือนหัวใจมาก การสะเทือนหัวใจนี้คือการสะเทือนกิเลส มันจะเริ่มคลายกิเลสออกตามสัจจะความจริง การคลายเพราะวิปัสสนาอันนี้เกิดขึ้น ปัญญาเกิดขึ้น ปัญญานี้ชำระล้างออกไปเรื่อยๆ ชำระล้างออกไปขนาดไหนมันก็จะปล่อยวางๆ เห็นไหม ตทังคปหาน สิ่งที่ตทังคปหานเพราะอะไร เพราะแก่นของกิเลสมันมีความแน่นหนาของมันมากเพราะอะไร เพราะพญามารการเกิดและการตาย วัฏฏะนี้ยาวไกลมาก การสะสมมาของตัณหาความทะยานอยากนี้เป็นเนื้อเดียวกัน อนุสัยกับจิตเป็นเนื้อเดียวกัน แล้วเราวิปัสสนาจะปล่อยวางออกมา

งานการชำระกิเลสเห็นไหม งานการทำความสงบเย็น เย็นใจจะเย็นอย่างไร เย็นแบบสมาธิเย็นแล้วก็เสื่อม เย็นแล้วก็ทุกข์ ทุกข์เพราะอะไร เพราะเหมือนกับคนเคยมีสิ่งที่เป็นคุณสมบัติ สิ่งที่เป็นสมบัติมหาศาลเลย แล้วหลุดไม้หลุดมือไปเป็นคนทุกข์คนจน ทำไมจะไม่ทุกข์ นี่ก็เหมือนกัน เกิดเป็นสมาธิเกิดจากความตั้งมั่นของใจแล้วเสื่อมไปทำไมจะไม่ทุกข์ สิ่งนี้ทุกข์แน่นอน การวิปัสสนา การทำสมถะก็เป็นสภาวะแบบนั้น

การทำวิปัสสนาก็เหมือนกัน ขนาดที่ว่ามันปล่อยวางขนาดไหน ตทังคปหานคือการประหารชั่วคราว ถ้าประหารชั่วคราวแล้วมีความประมาทเห็นไหม การสร้างสมบุญญาธิการ ถ้าคนสร้างสมบุญญาธิการมีพละมีกำลังของจิต อินทรีย์สังวร สิ่งนี้มี มันจะคอยระมัดระวัง ขนาดปล่อยวางขนาดไหนถ้ามันยังไม่คลายออก ยังไม่มีสิ่งบอกเหตุว่ากิเลสขาดอย่างใด เราต้องวิปัสสนาซ้ำ

สิ่งที่วิปัสสนาซ้ำนี่ครูบาอาจารย์จะคอยชี้นำ ครูบาอาจารย์จะคอยเตือนสติว่าสิ่งนี้ระวังนะ ขับรถไป รถลงไปในเลน ล้อมันตกหลุมแล้วนะ ถ้ามันตกหลุมเดี๋ยวรถจะติดนะ ถ้าติดแล้วใครจะมาช่วยเหลือนะ เราคนเดียวอยู่ในรถขลุกขลักๆ จะแบกรถขึ้นมาทั้งคันก็แบกไม่ไหวนะ นี่เวลามันจิตเสื่อมไง เสื่อมสภาวะแบบนั้น วิปัสสนาแล้วตทังคปหาน ขับไป แล้วไปติดหลุมติดหล่มก็ไม่รู้ว่าติดหลุมติดหล่ม อยู่กับครูอยู่กับอาจารย์เห็นไหม

“ใจที่หมดจากภัย” สิ่งที่ผ่านขั้นตอนการประพฤติปฏิบัติจะเห็นภัยสภาวะแบบนี้ ถ้าเห็นภัยสภาวะแบบนี้เห็นไหม นี่การเป็นไปของจิต ธรรมวินัยที่รถขับเคลื่อนไปในธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ สิ่งที่ขับเคลื่อนไปมันทำลายสภาวะแบบใด เชื้อไขอันใด เชื้อไขบุญกุศลที่เป็นอามิสอยู่กับใจอย่างไร

จิตเวลาตายจากนี้โดยสภาวะไปเกิดในสถานะไหน ขณะที่ทำลายเชื้อทำลายไขสิ่งที่เป็นหนี้สิ่งที่ทำให้จิตนี้เกิดตายอยู่ มันชำระขาดออกไป ปล่อยวางขนาดไหน ปล่อยวางแล้วปล่อยวางเล่า จนขาด “กายเป็นกาย จิตเป็นจิต ทุกข์เป็นทุกข์”

จากการเกิดตายที่ไม่มีต้นไม่มีปลาย การเกิดการตายในวัฏฏะที่ต้องเกิดต้องตายโดยสัจจะความจริงนี้ก็ยังปฏิเสธ ขณะที่ว่าเห็นการขาดออกไปอย่างนี้ จิตดวงนี้จะเกิดอีก ๗ ชาติเท่านั้น จะเห็นสัจจะความจริง เห็นไหม เพราะอะไร เพราะสักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาสมันขาดออกไปจากใจ ในเมื่อไม่มีสีลัพพตปรามาส ความลูบคลำของศีลมันไม่มี

ถ้าความลูบคลำของศีลมันไม่มี การแสดงออกโดยวาจานี่แม้แต่พระโสดาบันการแสดงออกยังเป็นสุภาพบุรุษเลย จะเคารพครูบาอาจารย์ของตัวเองมาก จะศรัทธา จะเชื่อมั่น สิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นมาจะลบหลู่ จะทำสิ่งต่างๆ ออกมาจากใจไม่ได้ สิ่งที่ทำออกจากใจนี้แสดงออกว่าสิ่งนี้เป็นโวหาร สิ่งนี้เป็นภัยในหัวใจ ภัยในหัวใจยังไม่ชำระล้างแม้แต่นิดเดียวนะ

ดูสิ ดูอย่างสมัยพุทธกาล พระสารีบุตร พระโมคคัลลานะ พระอุบาลี กล่าวธรรมะกันว่าสิ่งใดดีที่สุด สิ่งใดดีที่สุด

พระสารีบุตรบอกว่า “ปัญญาดีที่สุด”

พระโมคคัลลานะบอกว่า “ฤทธิ์ดีที่สุด”

พระอุบาลีบอกว่า “วินัยดีที่สุด”

ถ้ามีการโต้เถียงกันอย่างนี้เป็นธมฺมสากจฺฉานะ ขณะที่ธมฺมสากจฺฉา พระปฏิบัติเราครูบาอาจารย์ออกจากป่ามา เวลาธมฺมสากจฺฉา ต่างคนต่างแง่มุมนี่จะมีการพูดคุยกันด้วยความร่มเย็นเป็นสุข จะมีความสุขมาก เป็นการรื่นเริงในธรรมไง

นี่ก็เหมือนกัน ขณะที่พระอรหันต์ในสมัยพุทธกาลคุยกันเรื่องของธรรมวินัย ธมฺมสากจฺฉา แต่มุมมองของแต่ละองค์ไม่เหมือนกัน ในเมื่อไม่เหมือนกัน ต่างองค์ต่างความถนัดของตัวนี่เป็นใหญ่ๆ ลงกันไม่ได้ คือว่าสภาธรรมลงกันไม่ได้ พากันไปหาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ ไม่ใช่ว่าเห็นลงกันไม่ได้

พระสารีบุตรเห็นว่า ปัญญานี้เป็นใหญ่ พระสารีบุตรต้องลบธรรมและวินัยที่พระอุบาลีชำนาญในธรรมและวินัยสิ ทำไมไม่ลบล่ะ สิ่งนี้ทุกคนเทิดทูนเพราะสิ่งนี้เป็นธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ธรรมและวินัยเป็นขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่เราก้าวเดินมาโดยการประพฤติปฏิบัติเข้าถึงธรรมอันนี้ เพราะธรรมและวินัยอันนี้ไง ไม่ได้ลบหลู่ ไม่ได้ทำอะไร แต่มุมมองต่างกัน มุมมองนี้มันไม่เป็นโทษเป็นภัยกับใครไง

ถึงไปหาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยกัน เวลาถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถามว่า “ข้าพระพุทธเจ้ามีความเห็นอย่างนี้ มีความเห็นต่างๆ กันอย่างนี้ ว่าสิ่งใดจะเป็นความสำคัญ”

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาท่านตัดสิน “อาสวักขยญาณที่พวกเธอทำลายกิเลสตัณหาความทะยานอยากอันนั้นต่างหากสำคัญที่สุด”

ในศาสนาของเรา ภาคปฏิบัติ ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติทำศีล สมาธิ ปัญญาขึ้นมา สิ่งที่เป็นศีล สมาธิ ปัญญาขึ้นมาจะไปทำลายกิเลส มรรคญาณอันนี้ ความเห็นอันนี้ ญาณคือความหยั่งรู้ของจิตดวงนี้จะไปชำระกิเลสของผู้ที่ประพฤติปฏิบัติที่เราเดินตามครูตามอาจารย์อยู่นี้ไง ถ้าเราเดินตามครูตามอาจารย์อยู่นี้ เราจะได้ชำระกิเลส

เป็นสิ่งที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้สรุปว่า “อาสวักขยญาณ ญาณหยั่งรู้ สันทิฏฐิโก การเข้าไปชำระกิเลสอันนี้สำคัญที่สุด”

ดูสิ ดูพระอรหันต์ในสมัยพุทธกาล แม้แต่ความเห็นต่างอย่างนี้ ถ้าความเห็นต่างของผู้ที่มีคุณธรรมนะ จะไม่มีการลบหลู่ จะไม่มีการทำลายกัน จะไม่มีการสิ่งที่ว่าจะไปทำลายความเห็นของผู้อื่น ความเห็นอันนั้นมันเป็นเอกสิทธิ์ของแต่ละบุคคล เพราะเป็นจริตนิสัย แต่ความเทิดทูนคือใจเป็นธรรม ถ้าใจนี้หมดจากกิเลส หมดจากภัยแล้ว จะไม่มีสิ่งที่เป็นอกุศล จะไม่มีสิ่งที่ไปทำลายลบหลู่ใครทั้งสิ้น

แต่ขณะที่ครูบาอาจารย์ของเรา แต่สิ่งที่ออกมา...ขณะที่ว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเห็นไหม ขณะที่ลูกศิษย์ของพระสารีบุตรจะมากราบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ขณะที่ว่ามาถึงค่ำ กำลังจัดที่กันอยู่ ส่งเสียงดัง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถามพระนาคิตะขณะที่เป็นผู้ที่กำลังอุปัฏฐากอยู่

“นาคิตะ นั่นเสียงของใคร เหมือนชาวประมงเขามาหาปลากัน”

“นั่นคือ ภิกษุบวชใหม่ นวกะภิกษุ จะมากราบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อมากราบให้รื่นเริงหัวใจเพราะมากราบองค์ศาสดาเพื่อจะมีกำลังใจที่จะประพฤติปฏิบัติ”

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกพระนาคิตะไปบอกให้พระพวกนั้นออกไปจากวัด ไล่ออกไปจากวัดเพราะอะไร เพราะว่าไม่มีความสำรวมระวัง เข้ามาในวัดในวาต้องมีความสงบสงัด เป็นพระนวกะบวชใหม่ไม่เข้าใจธรรมและวินัยไง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าขับออกไปจากวัดนะ

สุดท้ายแล้วขณะที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพุทธกิจ ๕ เทวดามาเฝ้าไง ว่า “ภิกษุนี้เป็นผู้ที่บวชใหม่ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าขับออกไป มันจะเสียโอกาสเขา”

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงให้ภิกษุไปตามกลับมา แล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศนาว่าการ ภิกษุพวกนี้เป็นพระอรหันต์ทั้งหมดเลย เห็นไหม เพราะอะไร เพราะสิ่งที่เขามา เขามาด้วยเจตนาดีของเขา เขามาด้วยธรรมของเขา

นี่ก็เหมือนกัน เวลาเราอยู่กับครูบาอาจารย์ ครูบาอาจารย์ตำหนิติเตียน ติเตียนใคร? ติเตียนภัยในหัวใจของเราต่างหาก ครูบาอาจารย์ที่ใจหมดจากภัยนะ จะทำลายใครได้ จะพูดเพื่อเป็นอกุศลเป็นไปไม่ได้

ผู้ที่ไม่มีภัยในหัวใจนี้จะทำสิ่งใดให้เป็นสิ่งที่บาดหมาง ให้เป็นสิ่งที่ผิดไปจากธรรมและวินัยไม่ได้ แล้วการกระทำของครูบาอาจารย์ที่เวลาตักเตือนลูกศิษย์ลูกหานี้ เพราะตักเตือน เพราะเราเป็นคนตาบอด เพราะเราไม่เข้าใจเรื่องธรรมและวินัย เพราะเราไม่เข้าใจเรื่องสิ่งที่ว่า สิ่งที่กรรม การกระทำของจิตที่มันเป็นสภาวะแบบใด แล้วศาสนานี้ ๕,๐๐๐ ปีใครเป็นผู้ที่ทรงศาสนานี้ไป นี่ใจที่หมดภัย ในหัวใจไม่เป็นภัย แต่เห็นภัยอย่างหยาบๆ ที่จะเข้ามารุกรานธรรมและวินัยไง

ในสมัยพุทธกาลนะ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเผยแผ่ธรรม เวลาเจ้าลัทธิต่างๆ ที่มาโต้แย้ง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะไม่ไปรุกรานเขา แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะกล่าวธรรมกับเขา ถ้ากล่าวธรรมกับเขา เขาจะจนด้วยธรรม ด้วยปัญญาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหมดเลย

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโต้ธรรมกับเจ้าลัทธิต่างๆ ไม่มีใครโต้ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้แม้แต่คนเดียว จะยอมรับธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหมดเลย แต่ก็ทิฏฐิของเขา เขาไม่เคยเปลี่ยน ไม่เคยกลับมา มีบ้างที่ในพวกเดียรถีย์สละลัทธิของเขาแล้วมาบวชในศาสนาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็มี แต่ผู้ที่ยังถือความเห็นของเขาอย่างนั้นก็มี

นี่ก็เหมือนกัน ในสมัยที่ครูบาอาจารย์ของเรา สิ่งที่เป็นธรรม สิ่งที่การแสดงออกไปนี้ เห็นบอกว่าเป็นการกล่าวจาบจ้วง เป็นการทำลายคนอื่น...มันไม่เป็นอย่างนั้นหรอก มันเป็นสิ่งที่เป็นภัยของเขา แม้แต่เขาบวชมาในศาสนาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เขายังไม่เคารพธรรมและวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

สิ่งที่ธรรมและวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี้เป็นพาหะ เป็นทางเดิน ธรรมและวินัยนี้เป็นมรรคญาณที่จะเข้ามาชำระกิเลสในหัวใจ แล้วสิ่งที่ทำลายธรรมและวินัย สิ่งที่การประพฤติปฏิบัติของโลกเขาเป็นสภาวะแบบนั้น ทำไมครูบาอาจารย์ของเราแสดงออกอย่างนี้ไม่ได้ การแสดงออกนี้เป็นการแสดงออกการปกป้องธรรมและวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ได้ปกป้องศักดิ์ศรีดีงามของครูบาอาจารย์ของเราหรอก

ครูบาอาจารย์ของเรานี่เกิดในธรรม เกิดจากธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีความเคารพ มีความศรัทธา มีธรรมอันนี้ไง สิ่งที่การแสดงออกนี้เป็นการแสดงออกการปกป้องธรรมและวินัย ธรรมและวินัยนี้คือสมมุติ สมมุติเพื่อให้อนุชนรุ่นหลังมันมีที่ก้าวเดินมา ถ้าธรรมและวินัยนี้หมดไป ธรรมและวินัยนี้โดนแปรสภาพไป ความเชื่อถือของสังคมก็เป็นสภาวะเปลี่ยนแปลงอย่างนั้นไป

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงธรรมไว้ในพระไตรปิฎก “กึ่งพุทธกาลศาสนาจะเจริญอีกหนหนึ่ง” สิ่งที่เจริญขึ้นมา เจริญขึ้นมาจากที่ไหนล่ะ? เจริญขึ้นมาจากที่ว่า หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น เป็นผู้รื้อค้นขึ้นมา เพราะเจริญขึ้นมาจากใจของครูบาอาจารย์ของเรา แล้วเป็นผู้ชี้นำ เป็นผู้ที่เราประพฤติปฏิบัติ

แม้แต่เวลาประพฤติปฏิบัติ ขณะที่หลวงปู่มั่นสลบถึง ๓ หน หลวงปู่มั่นก็สลบนะ ครูบาอาจารย์ของเราต่อสู้กับกิเลสขนาดนั้นนะ ขนาดถึงกับล้มสลบไปเลย เพื่ออะไร? ก็เพื่อชำระภัยจากในหัวใจ แล้วสิ่งนี้เป็นผู้ที่บุกเบิก แล้วสิ่งนี้เป็นการวางธรรมและวินัยไว้ เพราะสิ่งที่รื้อค้นขึ้นมาเป็นผู้ชี้นำ แล้วเราเป็นลูกศิษย์ลูกหา เราก้าวเดินตามครูบาอาจารย์ของเรา ครูบาอาจารย์ของเราสละแม้แต่ชีวิตในการเผชิญกับกิเลสนะ

ขณะที่เผชิญกิเลส เวลาเราอดอาหาร เราทำประพฤติปฏิบัติกัน ถ้าสิ่งนี้เรายังสละชีวิตอย่างนี้ได้ แล้วทำไมสิ่งที่ว่าที่เขารุกราน สิ่งที่ว่าเป็นแผนที่ดำเนิน ทำไมเราจะสละไม่ได้ เห็นไหม สิ่งที่สละขึ้นมานี่ครูบาอาจารย์ของเราไม่ได้ทำออกมาด้วยมายา ไม่ได้แสดงออกมาโดยหัวใจที่ว่าต้องการสถานะให้สังคมยอมรับ เพราะสิ่งนี้เป็นเรื่องไร้สาระ สิ่งนี้เป็นเรื่องโลกธรรม สิ่งนี้เป็นสิ่งที่เกินมาคือเรื่องเกียรติศักดิ์เกียรติยศ มันเป็นสิ่งที่เติมมา เติมมาเรื่องของใจ ใจอิ่มพอ ใจไม่มีภัยในหัวใจแล้ว อิ่มพอในหัวใจสิ่งนี้เป็นธรรมล้วนๆ ถ้าธรรมล้วนๆ อย่างนี้มันจะเป็นประโยชน์กับใจดวงนั้นแล้ว

ดูสิ ดูเวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ว่ารื้อสัตว์ขนสัตว์ แล้วเวลาจะสั่งสอน ทอดธุระอาลัยเลยว่าจะรู้ได้อย่างไร รู้ได้อย่างไร

นี่ก็เหมือนกัน แล้วถ้าครูบาอาจารย์ของเราประพฤติปฏิบัติขึ้นมาจากใจ แล้วใจเห็นสภาวะความเป็นจริง เห็นคุณประโยชน์ของธรรมและวินัยอย่างนี้ แล้วทำไมจะไม่ปกป้องล่ะ สิ่งที่ปกป้องแม้แต่จะรื้อสัตว์ขนสัตว์ก็แสนทุกข์แสนยาก แล้วขณะที่เครื่องมือที่จะรื้อสัตว์ขนสัตว์เขาก็จะทำลายกัน ถ้าทำลายเครื่องมือที่จะรื้อสัตว์ขนสัตว์แล้วผู้ที่ผ่านพ้นมาอย่างนี้จะยอมปล่อยวางอย่างนี้ได้อย่างไร การแสดงออกมันถึงเป็นความรุนแรงไง

ถ้าการแสดงออกมันเป็นความรุนแรงอย่างนี้ เรามีภัยในหัวใจมหาศาลเลย การแสดงออกของครูบาอาจารย์แสดงออกไปอย่างนี้ เราเห็นว่าสิ่งนี้มันจะทำให้เขาไม่เคารพไม่ศรัทธา เพราะเรามีภัยในหัวใจ เพราะภัยในหัวใจของเราไปตื่นกลัวเอง เพราะภัยในหัวใจเราไปตื่นกลัวภัยความเห็น กลัวกิเลสของตัวเอง แล้วไปกลัวโลกข้างนอก แล้วเวลาครูบาอาจารย์ของเราผู้นำออกไปเพื่อประโยชน์กับธรรมและวินัย เราเองเราตื่นกลัวจากใจของเรา แล้วเราก็จะไปตื่นกลัวแทนครูบาอาจารย์ จะไม่ให้ครูบาอาจารย์แสดงออกสภาวะแบบนั้น โดยความเข้าใจผิดว่าสิ่งนี้เป็นโลก สิ่งนี้เป็นโลกไง ไม่ใช่หน้าที่ของพระ ถ้าพระต้องประพฤติปฏิบัติ พระต้องสำรวมระวัง พระต้องไม่ออกไปวุ่นวายเรื่องของโลก

ขณะที่ภัยในหัวใจมัน มันทำลายใจของมันเองก่อนนะ มันเสียว มันกลัวอยู่ในหัวใจของเขา แล้วครูบาอาจารย์ของเรานี่สละชีวิตมา ทำคุณประโยชน์มากับตัวเองจนหมดจากภัยแล้ว การเกิดและการตาย ภัยอันละเอียดนี้จะไม่มีในใจดวงนั้น ถ้าใจดวงนั้นไม่มีภัยการเกิดและการตายจะไม่มีความเสียวสันหลัง ตายแล้วจะไม่เกิดอีก สิ่งที่ตายแล้วไม่เกิดอีก สิ่งที่มีกำลังที่จะปกป้องไว้เพื่อให้อนุชนรุ่นหลัง อนุชนรุ่นหลังจะได้อาศัยสิ่งนี้เป็นอาวุธ เป็นธรรมโอสถเข้าไปทำลายกิเลสในหัวใจ เป็นมรรคญาณที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกพระอรหันต์ ๕ องค์นั้นว่า

“สิ่งที่ประเสริฐที่สุดคืออาสวักขยญาณอันนี้”

ไม่ใช่สิ่งที่ว่าพระอรหันต์ ๕ องค์นั้นสำเร็จพระอรหันต์ พระสารีบุตร พระโมคคัลลานะนั้นแล้วมากล่าว สิ่งที่ความเห็นมุมมองจากภายนอก แล้วก็ไม่ได้ทำอะไรสิ่งใดให้เป็นการกระเทือนหัวใจกัน เพียงแต่สิ่งที่เป็นธมฺมสากจฺฉา การแสดงออกของธรรมเห็นไหม การแสดงออกของธรรมจากภายนอกจะไม่มีการเบียดเบียน ไม่ทำลาย

ครูบาอาจารย์ของเราก็เหมือนกัน ในเมื่อการแสดงออกของธรรม เพื่อปกป้องธรรมาวุธ สิ่งที่พวกเราประพฤติปฏิบัติขึ้นมาได้จริง ถ้าประพฤติปฏิบัติขึ้นมาไม่ได้จริงมันก็เป็นโวหาร มันก็เป็นสิ่งที่ว่านิพพานสงบเย็นๆ แต่เหยียบย่ำธรรมและวินัยมาตลอด เหยียบย่ำธรรมและวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วบอกว่าธรรมนี้สงบเย็น สงบเย็นได้อย่างไรในเมื่อเราเหยียบอยู่ใต้ฝ่าเท้า นั่นคืออะไร สิ่งที่เหยียบอยู่ นั่นแหละเหยียบธรรมและวินัยขึ้นมา แล้วก็จะออกไปจาบจ้วงคนอื่น ออกไปทำลาย แล้วครูบาอาจารย์ของเรารักษาอย่างนี้ ปกป้องอย่างนี้มันไปผิดตรงไหน

สิ่งนี้ทำไมไม่เป็นประโยชน์ ประโยชน์จากเราด้วย ประโยชน์จากเราที่เป็นผู้ที่ก้าวเดินตามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ๑ เพราะศาสดาองค์เอกเป็นเจ้าของศาสนา ครูบาอาจารย์ของเราประพฤติปฏิบัติขึ้นมาด้วยการรื้อค้น ด้วยการสละ สละต่อสู้กับกิเลสด้วยชีวิต ต่อสู้กับกิเลสในป่าในเขาด้วยชีวิตนะ ไม่ต้องมาสละต่อหน้าเขา อวดเขา บอกว่าจะสละเพื่อโลกๆ หรอก สิ่งที่สละเพื่อโลกเขาสละกัน ดูสัตว์สิ เขาฆ่าเอามาเป็นอาหาร มันก็สละชีวิตของมันเพื่อเป็นอาหาร มันได้อะไร สิ่งที่เขาสละกันอยู่นั้นมันสละเป็นธุรกิจ สละเพื่อความโลภ เพื่อความมั่งมีศรีสุขของเขา

แต่นี่ครูบาอาจารย์ของเรา ขณะสละชีวิตสละขณะอยู่ในป่าในเขา สิ่งนี้ไม่ต้องโอ้อวด มันทำลายกิเลสเพราะเป็นความสุภาพบุรุษทำลายกิเลส ต้องทำลายกิเลสของเราในหัวใจ เป็นสุภาพบุรุษเห็นไหม แล้วทำได้จนสิ่งที่เป็นธรรมและวินัยเกิดขึ้นมาในหัวใจ

เวลาครูบาอาจารย์กราบธรรมและวินัยนี้กราบจากหัวใจ เพราะใจนี้เป็นธรรม ใจนี้เป็น เอโก ธัมโม

แต่ผู้ที่เป็นลูกศิษย์ลูกหาอ้างตัวว่ามีธรรมๆ นั่นน่ะ การแสดงออกมายาทั้งนั้น สิ่งที่เป็นมายาเพราะภัยในหัวใจมันมาก ภัยในหัวใจมันถึงได้กลัว พอกลัวภัยในหัวใจก็ไปกลัวกล่าวว่า กลัวแทนครูบาอาจารย์ ทั้งๆ ที่มันกลัวตัวมันเอง มันกลัวในหัวใจของมันเอง มันกลัวสิ่งที่ว่าความเป็นอยู่มันจะยุบยอบไป มันจะไม่ได้ลาภสักการะ มันจะไม่ได้สิ่งต่างๆ ไม่ได้การยอมรับจากสังคม กลัวสังคมจะกล่าวโทษครูบาอาจารย์ของเรา แล้วจะกล่าวโทษมาถึงลูกศิษย์ด้วย ลูกศิษย์นี้จะเป็นผู้ที่ไม่สำรวมระวัง เป็นผู้ที่ไม่มีธรรมในหัวใจไง เขากล่าวตู่ถึงอาจารย์เขาก็จะกล่าวตู่ถึงตัว

สิ่งที่กล่าวตู่นั่นเป็นเรื่องโลก สิ่งที่โลกเขาทำลายกันสิ่งต่างๆ เขาวางแผนกันทำลายกันมหาศาลเลย สิ่งนี้เป็นเรื่องของโลกนะ แล้วถ้าภัยในหัวใจนี่ สิ่งที่เป็นกิเลสมันก็ทำลายเราอยู่อย่างนี้ตลอดเวลา ทำลายเรานะ กิเลสของเราเป็นสิ่งที่ชั่วช้าที่สุด เพราะมันเป็นกิเลสของเรา มันอยู่ในใจของเราไม่ต้องไปโทษใครเลย โทษหัวใจของเรานี่ มันมีกิเลสตัณหาอันนี้ สิ่งนี้เราต้องเห็นภัยอันนี้บ้าง

ถ้าเห็นภัยอันนี้แล้วมีมุมมอง แล้วเราพยายามสร้างสมบุญญาธิการขึ้นมา กำจัดภัยในหัวใจให้ได้ ถ้าภัยในหัวใจเราหมดสิ้นนะ เราจะซาบซึ้งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก่อน เห็นไหม

“ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นตถาคต”

แล้วธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตถาคตนี้สร้างสมบุญญาธิการมาเป็นพระโพธิสัตว์ สยัมภู ตรัสรู้เองโดยชอบนี้ยาวไกลขนาดไหน

นี่เห็นธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก่อน แล้วเราประพฤติปฏิบัติมาถ้าเรามีธรรมในหัวใจ ธรรมในหัวใจนี้ใครเป็นคนชี้นำ ใครเป็นคนสั่งสอนมา? ครูบาอาจารย์เราเป็นผู้ชี้นำ ครูบาอาจารย์เราเป็นคนสั่งสอนมา เราซาบซึ้งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วเราจะมาซาบซึ้งครูบาอาจารย์ของเรา

ชีวิตนี้ถึงไม่มีค่าเลย ชีวิตนี้ เพราะอะไร เพราะการประพฤติปฏิบัติมา การกำจัดภัยนี่เราสละมามหาศาลแล้ว ชีวิตนี้ถึงไม่มีค่า เราสละใดๆ ก็ได้เพื่อครูบาอาจารย์ของเรา เอวัง